หอบเหนื่อย (Dyspnea)

อาการหอบเหนื่อย หรือ “หายใจลำบาก” หมายถึง ความรู้สึกไม่สบายในการหายใจ ซึ่งอาจเป็นการหายใจที่เร็ว ลึก หรือใช้แรงมากกว่าปกติ ทั้งในขณะพักหรือเมื่อออกแรงเพียงเล็กน้อย ถือเป็นอาการสำคัญทางคลินิกที่ควรหาสาเหตุโดยเร็ว

ในทางการแพทย์ มีศัพท์เฉพาะใช้เรียกลักษณะของอาการหอบแต่ละแบบ เพื่อช่วยให้แพทย์สื่อสารและเข้าใจลักษณะของอาการได้ชัดเจน

Tachypnea หมายถึง การหายใจเร็วกว่าอัตราปกติ (มากกว่า 20 ครั้งต่อนาที) พบได้ในโรคปอดเรื้อรังส่วนใหญ่

Hyperpnea หมายถึง การหายใจลึกกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง (ไม่ใช่เพียงการถอนหายใจเป็นครั้ง ๆ) มักเกิดในภาวะกรดเกินในเลือด (metabolic acidosis)

Hyperventilation หมายถึง การหายใจทั้งลึกและเร็วกว่าปกติ พบได้บ่อยในเพศหญิงอายุ 12–25 ปี เรียกว่า Hyperventilation syndrome ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความเครียด

Orthopnea หมายถึง อาการหอบที่เกิดเฉพาะเวลานอนราบ และดีขึ้นเมื่อยืดตัวหรือนั่ง พบบ่อยในภาวะหัวใจล้มเหลว

Paroxysmal nocturnal dyspnea (PND) หมายถึง การหอบเหนื่อยขณะหลับไปได้สัก 1–2 ชั่วโมงจนต้องตื่นขึ้นมาหายใจ พบในภาวะหัวใจล้มเหลวและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea)

Dyspnea on exertion (DOE) หมายถึง อาการเหนื่อยเร็วกว่าปกติขณะออกแรง มักพบในระยะต้นของโรคหัวใจหรือโรคปอด

Trepopnea หมายถึง อาการหอบที่เกิดเฉพาะเมื่อนอนตะแคงข้างหนึ่ง พบในกรณีที่ปอดสองข้างขยายตัวไม่เท่ากัน เช่น มีน้ำหรือลมในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างหนึ่ง หรือกระบังลมอัมพาตข้างหนึ่ง

Platypnea หมายถึง อาการหอบที่เกิดเฉพาะเมื่อนั่งหรือยืน และดีขึ้นเมื่อเอนหรือนอน พบน้อยมาก มักเกี่ยวข้องกับภาวะทางกายวิภาคของหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจผิดปกติ เช่น constrictive pericarditis



สาเหตุของอาการหอบเหนื่อย

การหาสาเหตุของอาการหอบเหนื่อยสามารถพิจารณาจาก “ช่วงเวลาการเกิด” ได้แก่

  • หอบเหนื่อยเฉียบพลัน — เกิดขึ้นทันทีอย่างฉับพลัน
  • หอบเหนื่อยกึ่งเฉียบพลัน — ค่อย ๆ เกิดขึ้นภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์ หรือมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ
  • หอบเหนื่อยเรื้อรัง — มีอาการต่อเนื่องนานกว่า 1 เดือน

สาเหตุของอาการหอบเหนื่อยเฉียบพลัน

  1. พยาธิสภาพที่ปอด เช่น
    • ปอดแตก เจ็บหน้าอกและหอบเฉียบพลันหลังไอแรง พบในคนผอมสูงหรือผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง
    • เส้นเลือดปอดอุดตัน เจ็บอก ใจสั่น หายใจไม่พอ พบในผู้ป่วยที่นอนนาน ผู้ป่วยมะเร็ง หญิงตั้งครรภ์ หรือใช้ยาคุมกำเนิด
    • โรคหืด มีเสียงหายใจวี้ดร่วมด้วย
    • สิ่งแปลกปลอมอุดหลอดลม หรือ การสูดควันสารพิษ
  2. พยาธิสภาพที่หัวใจ เช่น
    • กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก
    • ผนังหัวใจฉีกขาด เกิดอาการหอบและเจ็บอกทันทีหลังกล้ามเนื้อหัวใจตาย
    • หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน มักเกิดตอนกลางคืนขณะนอน ต้องตื่นขึ้นมานั่งหอบ
  3. พยาธิสภาพที่กระบังลม เช่น อัมพาตของกระบังลม จากการบาดเจ็บเส้นประสาทฟรีนิก
  4. พยาธิสภาพทางจิตใจ เช่น Hyperventilation syndrome มักพบในหญิงสาว มีอาการหายใจเร็ว ลึก มือชา นิ้วจีบ ไม่มีเสียงวี้ดหรือไอ

สาเหตุของอาการหอบเหนื่อยกึ่งเฉียบพลัน

  1. พยาธิสภาพที่ปอด เช่น
    • ปอดบวม มีไข้ ไอ เจ็บอก หอบมากขึ้นเรื่อย ๆ
    • โรคถุงลมโป่งพองกำเริบ หอบง่ายเมื่อเจ็บป่วยหรือสัมผัสสิ่งกระตุ้น เช่น อากาศเย็น ควัน ฝุ่น
    • วัณโรคเยื่อหุ้มปอด มีไข้ เจ็บอก หายใจฝืดจากการมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
  2. พยาธิสภาพที่หัวใจ เช่น
    • กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    • หัวใจล้มเหลว หอบขณะนอน ต้องตื่นมานั่ง
  3. ภาวะเลือดเป็นกรด เช่น
    • เบาหวานน้ำตาลสูง กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย เหนื่อย หอบลึก
    • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อย ก่อนเกิดอาการอ่อนแรง หายใจเร็ว ความดันต่ำ

สาเหตุของอาการหอบเหนื่อยเรื้อรัง

  1. พยาธิสภาพที่ปอด เช่น
    • โรคถุงลมโป่งพอง (COPD) จากการสูบบุหรี่นานปี ไอเรื้อรัง หอบง่าย บางคนมีนิ้วปุ้ม
    • โรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
    • น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด จากวัณโรค มะเร็ง หรือหัวใจล้มเหลว
  2. พยาธิสภาพที่หัวใจ เช่น
    • กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    • หัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
  3. พยาธิสภาพอื่น ๆ เช่น
    • โรคอ้วน
    • ภาวะโลหิตจาง
    • ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
    • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
    • ความพิการของกระดูกทรวงอก
    • โรคเรื้อรังระยะท้าย เช่น ไตวาย ตับแข็ง หรือมะเร็งแพร่กระจาย


แนวทางการตรวจรักษา

อาการหอบเหนื่อยถือเป็นภาวะฉุกเฉิน แพทย์จึงต้องตรวจวินิจฉัยและรักษาไปพร้อมกัน การซักประวัติและตรวจร่างกาย เช่น เพศ อายุ ลักษณะการหอบ และเสียงหายใจจากหูฟัง เป็นข้อมูลสำคัญ

ผู้ป่วยที่สงสัยพยาธิสภาพที่ปอด หัวใจ หรือกระบังลมจะได้รับการเอกซเรย์ทรวงอก ส่วนโรคอื่นอาจไม่จำเป็น สิ่งสำคัญคือการประเมินความรุนแรงของภาวะ โดยการวัดสัญญาณชีพ เจาะเลือด และตรวจสมรรถภาพปอดในบางราย

หากเป็น Hyperventilation syndrome แพทย์อาจให้หายใจในถุงพลาสติกหรือให้ยาระงับประสาทชั่วคราว ถ้าเป็นโรคหืดหรือถุงลมโป่งพอง จะให้ยาพ่นขยายหลอดลมทันที ส่วนผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว แพทย์อาจให้ยาขับปัสสาวะหากความดันไม่ต่ำ

หากระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ (เช่น มือเท้าเขียว ปากเขียว ซึมลง) แพทย์จะใส่ท่อช่วยหายใจก่อน แล้วจึงตรวจหาสาเหตุต่อไป

การป้องกันอาการหอบเหนื่อย

สำหรับคนทั่วไป — ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดเรื้อรังหลายชนิด

ผู้ป่วยโรคหืด — ควรพ่นยาสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่น ควัน อากาศเย็น และควรมีเครื่องวัดกำลังการหายใจติดบ้าน

ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง — ต้องเลิกบุหรี่โดยเด็ดขาด และในรายที่หอบแม้ขณะพักควรมีถังออกซิเจนสำรองไว้ใช้ที่บ้าน

ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว — ควรควบคุมปริมาณน้ำดื่ม ไม่ดื่มก่อนนอน ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้านอน รับประทานยาสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการออกแรงหนัก

สรุป

อาการหอบเหนื่อยเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติในระบบหัวใจ ปอด หรือกระบังลม ซึ่งอาจเป็นภาวะเฉียบพลันที่อันตรายถึงชีวิตได้ การสังเกตลักษณะของอาการและเวลาการเกิดช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพปอด หัวใจ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะการสูบบุหรี่ การตรวจสุขภาพประจำปีและการรักษาโรคประจำตัวอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการหอบเหนื่อยและภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว