ภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรัง
(Chronic kidney disease, CKD)
ขณะที่ภาวะไตเสียหายเฉียบพลันเป็นผลแทรกซ้อนของโรคอื่นที่รุนแรง คนไข้จึงมีอาการหนัก แต่ภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรัง (CKD) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง การเสื่อมของไตจะค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการในระยะแรก และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการติดตามอาการกับแพทย์
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตเสื่อม ควรตรวจการทำงานของไตอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ได้แก่
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง
- เคยเกิดภาวะไตเสียหายเฉียบพลันมาก่อน
- มีโรคหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลวเรื้อรัง อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือหลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน
- มีนิ่วหรือถุงน้ำที่ไต หรืออัลตราซาวด์พบความผิดปกติของโครงสร้างไต
- มีต่อมลูกหมากโตหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก
- มีโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเอสแอลอี (SLE)
- มีญาติสายตรงเป็นโรคไตวาย
- มีความผิดปกติของไตตั้งแต่กำเนิด
- มีประวัติปัสสาวะเป็นเลือด
ความรุนแรงของภาวะไตเสื่อม
การทำงานของไตอาจดูคร่าว ๆ ได้จากค่าครีเอตินีน (creatinine, Cr) ในเลือด ค่าที่เกิน 1.2 mg% ในผู้หญิง และเกิน 1.4 mg% ในผู้ชาย ถือว่าเริ่มมีไตเสื่อม แต่จะให้ชัดเจนควรคำนวณเป็นอัตราการกรองของไต (Glomular filtration rate, GFR) ซึ่งแปรผันตามอายุ เพศ และเชื้อชาติ นอกจากนั้นจะใช้อัตราส่วนของอัลบูมินต่อครีเอตินีนในปัสสาวะ (Urine albumin/creatinine ratio, UACR) เป็นตัวบอกระยะที่ไตถูกทำลายด้วย
จากภาพด้านบน สีเขียวหมายถึงผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเข้าสู่ระยะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หากไม่มีปัสสาวะเป็นเลือด ไม่มีความผิดปกติของไตจากอัลตราซาวด์ หรือพยาธิสภาพผิดปกติจากการตรวจชิ้นเนื้อ ก็อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวจากการดื่มน้ำน้อยหรือบริโภคเนื้อสัตว์มาก โดยเฉพาะเนื้อวัว
กลุ่มสีเหลืองและสีส้มมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะพัฒนาไปเป็นภาวะไตวายในอนาคต จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตอย่างเข้มงวด หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น ลดปริมาณเนื้อสัตว์ และตรวจติดตามค่า Cr และอัลบูมินในปัสสาวะอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากเป็นโรคไตอยู่แล้วต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้จะดูแลดีแล้ว บางรายก็ยังอาจทรุดจนเข้าสู่กลุ่มสีแดงได้
กลุ่มสีแดงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ต้องได้รับการดูแลโดยอายุรแพทย์โรคไตอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเข้าสู่ระยะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องได้รับการฟอกเลือดเป็นประจำ
สาเหตุ อาการ และภาวะแทรกซ้อนของภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรัง
สาเหตุส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 เกิดจากโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง (แม้จะควบคุมได้ดี) รองลงมาคือโรคของหน่วยไต โรคถุงน้ำในไต รวมถึงโรคหรือภาวะอื่น เช่น นิ่ว การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อซ้ำ ๆ โรคไตจากภูมิคุ้มกันหรือพันธุกรรม โรคไตจากยาและสารพิษ หรือโรคหลอดเลือดไตอุดตัน
อาการของภาวะไตเสื่อมแบ่งตามระยะของ GFR ดังนี้
ระยะ G1–2: มักไม่มีอาการ บางรายอาจมีปัสสาวะเป็นฟอง ปัสสาวะกลางคืนบ่อย หรือคันตามตัว แต่ยังไม่จำเพาะ
ระยะ G3–4: เริ่มมีอาการบวม ปัสสาวะลดลง ซีด เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ความดันสูงขึ้น คันโดยไม่มีผื่น
ระยะ G5: อาการรุนแรงขึ้น ปัสสาวะน้อยมาก คลื่นไส้ อาเจียน ซีด เหนื่อย นอนราบไม่ได้ หายใจมีเสียงหอบ
ระยะเวลาจาก G1 ถึง G5 มักกินเวลาหลายสิบปี แต่เมื่อเข้าสู่ระยะ G3a แล้ว การฟื้นกลับสู่ภาวะปกติมักเป็นไปได้ยาก
ภาวะแทรกซ้อนเมื่อไตเสื่อมหรือวาย
- การใช้ยายุ่งยากขึ้น ต้องปรับขนาดใหม่ เกิดพิษจากยาง่ายขึ้น (โดยเฉพาะยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบซึ่งหาซื้อง่ายตามร้านขายยาทั่วไป)
- มีภาวะซีด เนื่องจากไตไม่สามารถสร้างฮอร์โมน erythropoietin ได้ตามปกติ (ฮอร์โมนนี้กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง)
- ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจต้องเพิ่มขนาดหรือเพิ่มยาอีกตัวเพื่อควบคุมความดัน
- ฟอสฟอรัสในเลือดสูงขึ้น เพราะไตขับออกไม่ได้ ฟอสฟอรัสที่สูงนี้ทำให้หลอดเลือดแข็ง หัวใจทำงานหนักขึ้น มีภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายโต
- มีภาวะน้ำเกินเพราะปัสสาวะออกน้อยลง เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
- แคลเซียมในเลือดลดลง เพราะไตสร้างวิตามินดีน้อยลง (วิตามินดีกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมจากทางเดินอาหาร) และฟอสฟอรัสในเลือดที่สูงขึ้นก็จับแคลเซียมในเลือดไปพอกที่กระดูกอีก
- เกิด secondary hyperparathyroidism เพราะแคลเซียมในเลือดต่ำ
- มีกรดและโพแทสเซียมคั่งในเลือด เสี่ยงต่อหัวใจหยุดเต้น
- ไขมันในเลือดผิดปกติ
- ร่างกายขาดสารอาหาร เพราะกินไม่ค่อยได้และซึมลงลงเนื่องจากของเสียคั่ง
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
เมื่อพบความผิดปกติจากการตรวจเลือดหรือปัสสาวะ ควรพบแพทย์เพื่อซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับ
- ประวัติการติดเชื้อ เช่น เจ็บคอ มีไข้ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอดส์ หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และยาที่ใช้อยู่
- ประวัติโรคไตในครอบครัว เช่น Polycystic kidney disease หรือ Alport syndrome
- ประวัติการเจ็บป่วยอื่น เช่น เคยไตวายเฉียบพลัน การผ่าตัด การฉายรังสี หรือเคมีบำบัด
หากประวัติไม่ชี้ชัด แพทย์จะตรวจเพิ่มเติม เช่น
- ตรวจเลือด: CBC, BUN, Creatinine, Electrolytes, Calcium, Phosphorus
- ตรวจน้ำตาลในเลือดและน้ำตาลสะสม (HbA1c)
- ตรวจการทำงานของตับ
- ตรวจปัสสาวะ (UA) รวมถึงระดับโปรตีน อัลบูมิน ครีเอตินีน และอิเล็กโทรไลต์
จากนั้นควรได้รับการเอกซเรย์ดูนิ่วหรืออัลตราซาวด์ระบบทางเดินปัสสาวะเพื่อประเมินขนาดและโครงสร้างไต รวมถึงตรวจหาภาวะอุดตันหรือต่อมลูกหมากโตในเพศชาย
แนวทางการรักษา
นอกจากรักษาสาเหตุของโรคแล้ว ยังมีแนวทางปฏิบัติตัวเพื่อชะลอความเสื่อมของไตตามระยะของไตวายดังนี้
ไตวายระยะที่ 1-2 (GFR ≥ 60 ml/min/1.73m2)
ผู้ป่วยยังไม่แสดงอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญ เช่น ค่าครีเอตินีนสูงเล็กน้อย หรือพบโปรตีนในปัสสาวะ
- อาหารสุขภาพ เน้นผักผลไม้ ธัญพืช ลดไขมันจากสัตว์ ลดโปรตีนเหลือ 0.6–0.8 g/kg/day เลี่ยงอาหารสำเร็จรูป โซเดียมไม่เกิน 2000 มก./วัน น้ำตาลไม่เกิน 25–37.5 กรัม/วัน และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
- ควบคุมความดันโลหิต ไม่เกิน 125/75 (ถ้ามีเบาหวานหรือโปรตีนในปัสสาวะ) หรือ 130/85 (ถ้าไม่มี)
- ควบคุมน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในระดับปกติ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ วันละ 30 นาที
- หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด
- เลิกสูบบุหรี่
ไตวายระยะที่ 3 (GFR 30-59 ml/min/1.73m2)
เริ่มมีอาการ เช่น เหนื่อยง่าย ขาบวม ปัสสาวะลดลง ซีด และคันตามตัว
- อาหารสำหรับโรคไต เน้นผักผลไม้ ธัญพืช ลดอาหารที่มีโพแทสเซียมหรือฟอสฟอรัสสูง จำกัดโซเดียมไม่เกิน 1500 มก./วัน และน้ำดื่ม = ปัสสาวะต่อวัน + 500 ml
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 20–30 นาทีต่อวัน
- เลิกสูบบุหรี่
- ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
- เตรียมวางแผนการเงินและผู้ดูแลในอนาคต
ไตวายระยะที่ 4-5 (GFR < 30 ml/min/1.73m2)
มีอาการชัดเจน เหนื่อย บวม ซีด ผิวคล้ำ ปัสสาวะน้อย คลื่นไส้ อาเจียน ลมหายใจมีกลิ่นยูเรีย ชาตามปลายมือเท้า
- ศึกษาวิธีรักษาไตวายระยะสุดท้าย ได้แก่ การฟอกเลือด (Hemodialysis), การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal dialysis), หรือการปลูกถ่ายไต (Kidney transplantation) โดยพิจารณาข้อดี-ข้อเสียให้เหมาะกับตนเอง
- อาหารสำหรับโรคไต คล้ายระยะที่ 3 แต่หากเข้ารับการฟอกหรือการล้างไต ควรเพิ่มโปรตีนเป็น 1.3 g/kg/day (เช่น ไข่ขาว ปลา ถั่ว หมู ไก่)
- ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน และมีกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
- ติดตามแพทย์สม่ำเสมอ หากมีไข้ อาเจียน หรือหอบเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์
ตัวอย่างเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 3 ขึ้นไป
** เน้นผัก ปลา ไม่เค็ม ไม่มัน ผลไม้ที่หวานน้อย
- แกงจืดวุ้นเส้น ใส่เห็ด เต้าหู้ หมูสับ ผักกาดขาว
- แกงจืดมะระต้มกระดูกหมู
- มะระผัดเต้าหู้
- แกงจืดใบตำลึง ใส่หัวไช้เท้า แครอท เห็ดหอม หมูสับหรือเนื้อปลา
- ข้าวกล้องหุงกับข้าวโพดแกะเมล็ด ใส่แครอท ถั่วลิสง เนื้อไก่สับ
- ข้าวอบธัญพืช
- ปลานึ่งเต้าเจี้ยว ใส่เห็ดหอม ขิงหั่นฝอย ต้นหอม ผักชี
- ปลานึ่งมะนาว ใส่น้ำซุป โรยคึ่นช่าย
- ขนมจีนน้ำยาปลา
- ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมูหรือกุ้ง
- ปลาดุกฟู ผักสลัด ราดน้ำจิ้ม
- น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ ที่ไม่หวานจัด
- เต้าทึงร้อน
** เลี่ยงขนมหวาน ขนมใส่กะทิ ขนมอบ เพราะมักใส่เนยและผงฟูซึ่งมีสารฟอสเฟตสูง
** งดกาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
สรุป
ภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรังเป็นโรคที่ค่อย ๆ ดำเนินไปโดยไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจสุขภาพเป็นประจำมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง การควบคุมโรคพื้นฐาน การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงยาที่เป็นพิษต่อไต และการดูแลสุขภาพทั่วไปอย่างต่อเนื่อง จะช่วยชะลอความเสื่อมของไตและยืดระยะเวลาไม่ให้เข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายได้
บรรณานุกรม
- Andrew S. Levey, et. al. 2015. "Glomerular Filtration Rate and Albuminuria for Detection and Staging of Acute and Chronic Kidney Disease in Adults: A Systematic Review." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา JAMA. 2015 Feb 24; 313(8): 837–846. (3 พฤศจิกายน 2568).
- Josette A. Rivera, et. al. 2012. "Update on the Management of Chronic
Kidney Disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. 2012 Oct 15;86(8):749-754. (3 พฤศจิกายน 2568).
- Amir Qaseem, et. al. 2013. "Screening, Monitoring, and Treatment of Stage 1 to 3 Chronic Kidney Disease: A Clinical Practice Guideline From the American College of Physicians." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. (3 พฤศจิกายน 2568).
- David A Ferenbach and Joseph V Bonventre. 2016. "Acute kidney injury and chronic kidney disease: from the laboratory to the clinic." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nephrol Ther. 2016 Apr; 12(Suppl 1): S41–S48. (3 พฤศจิกายน 2568).
- "Chronic kidney disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (3 พฤศจิกายน 2568).
- "Stage 1 of Chronic Kidney Disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Davita.com. (3 พฤศจิกายน 2568).