ภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรัง
(Chronic kidney disease, CKD)

ขณะที่ภาวะไตเสียหายเฉียบพลันเป็นผลแทรกซ้อนของโรคอื่นที่รุนแรง คนไข้จึงมีอาการหนัก แต่ภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรัง (CKD) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูง การเสื่อมของไตจะค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการในระยะแรก และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการติดตามอาการกับแพทย์

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตเสื่อม ควรตรวจการทำงานของไตอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ได้แก่

ความรุนแรงของภาวะไตเสื่อม

การทำงานของไตอาจดูคร่าว ๆ ได้จากค่าครีเอตินีน (creatinine, Cr) ในเลือด ค่าที่เกิน 1.2 mg% ในผู้หญิง และเกิน 1.4 mg% ในผู้ชาย ถือว่าเริ่มมีไตเสื่อม แต่จะให้ชัดเจนควรคำนวณเป็นอัตราการกรองของไต (Glomular filtration rate, GFR) ซึ่งแปรผันตามอายุ เพศ และเชื้อชาติ นอกจากนั้นจะใช้อัตราส่วนของอัลบูมินต่อครีเอตินีนในปัสสาวะ (Urine albumin/creatinine ratio, UACR) เป็นตัวบอกระยะที่ไตถูกทำลายด้วย

จากภาพด้านบน สีเขียวหมายถึงผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเข้าสู่ระยะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หากไม่มีปัสสาวะเป็นเลือด ไม่มีความผิดปกติของไตจากอัลตราซาวด์ หรือพยาธิสภาพผิดปกติจากการตรวจชิ้นเนื้อ ก็อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวจากการดื่มน้ำน้อยหรือบริโภคเนื้อสัตว์มาก โดยเฉพาะเนื้อวัว

กลุ่มสีเหลืองและสีส้มมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะพัฒนาไปเป็นภาวะไตวายในอนาคต จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตอย่างเข้มงวด หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น ลดปริมาณเนื้อสัตว์ และตรวจติดตามค่า Cr และอัลบูมินในปัสสาวะอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากเป็นโรคไตอยู่แล้วต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้จะดูแลดีแล้ว บางรายก็ยังอาจทรุดจนเข้าสู่กลุ่มสีแดงได้

กลุ่มสีแดงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ต้องได้รับการดูแลโดยอายุรแพทย์โรคไตอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเข้าสู่ระยะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องได้รับการฟอกเลือดเป็นประจำ



สาเหตุ อาการ และภาวะแทรกซ้อนของภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรัง

สาเหตุส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 เกิดจากโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง (แม้จะควบคุมได้ดี) รองลงมาคือโรคของหน่วยไต โรคถุงน้ำในไต รวมถึงโรคหรือภาวะอื่น เช่น นิ่ว การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อซ้ำ ๆ โรคไตจากภูมิคุ้มกันหรือพันธุกรรม โรคไตจากยาและสารพิษ หรือโรคหลอดเลือดไตอุดตัน

อาการของภาวะไตเสื่อมแบ่งตามระยะของ GFR ดังนี้
ระยะ G1–2: มักไม่มีอาการ บางรายอาจมีปัสสาวะเป็นฟอง ปัสสาวะกลางคืนบ่อย หรือคันตามตัว แต่ยังไม่จำเพาะ
ระยะ G3–4: เริ่มมีอาการบวม ปัสสาวะลดลง ซีด เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ความดันสูงขึ้น คันโดยไม่มีผื่น
ระยะ G5: อาการรุนแรงขึ้น ปัสสาวะน้อยมาก คลื่นไส้ อาเจียน ซีด เหนื่อย นอนราบไม่ได้ หายใจมีเสียงหอบ

ระยะเวลาจาก G1 ถึง G5 มักกินเวลาหลายสิบปี แต่เมื่อเข้าสู่ระยะ G3a แล้ว การฟื้นกลับสู่ภาวะปกติมักเป็นไปได้ยาก

ภาวะแทรกซ้อนเมื่อไตเสื่อมหรือวาย

  1. การใช้ยายุ่งยากขึ้น ต้องปรับขนาดใหม่ เกิดพิษจากยาง่ายขึ้น (โดยเฉพาะยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบซึ่งหาซื้อง่ายตามร้านขายยาทั่วไป)
  2. มีภาวะซีด เนื่องจากไตไม่สามารถสร้างฮอร์โมน erythropoietin ได้ตามปกติ (ฮอร์โมนนี้กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง)
  3. ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจต้องเพิ่มขนาดหรือเพิ่มยาอีกตัวเพื่อควบคุมความดัน
  4. ฟอสฟอรัสในเลือดสูงขึ้น เพราะไตขับออกไม่ได้ ฟอสฟอรัสที่สูงนี้ทำให้หลอดเลือดแข็ง หัวใจทำงานหนักขึ้น มีภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายโต
  5. มีภาวะน้ำเกินเพราะปัสสาวะออกน้อยลง เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
  6. แคลเซียมในเลือดลดลง เพราะไตสร้างวิตามินดีน้อยลง (วิตามินดีกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมจากทางเดินอาหาร) และฟอสฟอรัสในเลือดที่สูงขึ้นก็จับแคลเซียมในเลือดไปพอกที่กระดูกอีก
  7. เกิด secondary hyperparathyroidism เพราะแคลเซียมในเลือดต่ำ
  8. มีกรดและโพแทสเซียมคั่งในเลือด เสี่ยงต่อหัวใจหยุดเต้น
  9. ไขมันในเลือดผิดปกติ
  10. ร่างกายขาดสารอาหาร เพราะกินไม่ค่อยได้และซึมลงลงเนื่องจากของเสียคั่ง


แนวทางการตรวจวินิจฉัย

เมื่อพบความผิดปกติจากการตรวจเลือดหรือปัสสาวะ ควรพบแพทย์เพื่อซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับ

หากประวัติไม่ชี้ชัด แพทย์จะตรวจเพิ่มเติม เช่น

จากนั้นควรได้รับการเอกซเรย์ดูนิ่วหรืออัลตราซาวด์ระบบทางเดินปัสสาวะเพื่อประเมินขนาดและโครงสร้างไต รวมถึงตรวจหาภาวะอุดตันหรือต่อมลูกหมากโตในเพศชาย



แนวทางการรักษา

นอกจากรักษาสาเหตุของโรคแล้ว ยังมีแนวทางปฏิบัติตัวเพื่อชะลอความเสื่อมของไตตามระยะของไตวายดังนี้

ไตวายระยะที่ 1-2 (GFR ≥ 60 ml/min/1.73m2)

ผู้ป่วยยังไม่แสดงอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญ เช่น ค่าครีเอตินีนสูงเล็กน้อย หรือพบโปรตีนในปัสสาวะ

  1. อาหารสุขภาพ เน้นผักผลไม้ ธัญพืช ลดไขมันจากสัตว์ ลดโปรตีนเหลือ 0.6–0.8 g/kg/day เลี่ยงอาหารสำเร็จรูป โซเดียมไม่เกิน 2000 มก./วัน น้ำตาลไม่เกิน 25–37.5 กรัม/วัน และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
  2. ควบคุมความดันโลหิต ไม่เกิน 125/75 (ถ้ามีเบาหวานหรือโปรตีนในปัสสาวะ) หรือ 130/85 (ถ้าไม่มี)
  3. ควบคุมน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในระดับปกติ
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ วันละ 30 นาที
  5. หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด
  6. เลิกสูบบุหรี่

ไตวายระยะที่ 3 (GFR 30-59 ml/min/1.73m2)

เริ่มมีอาการ เช่น เหนื่อยง่าย ขาบวม ปัสสาวะลดลง ซีด และคันตามตัว

  1. อาหารสำหรับโรคไต เน้นผักผลไม้ ธัญพืช ลดอาหารที่มีโพแทสเซียมหรือฟอสฟอรัสสูง จำกัดโซเดียมไม่เกิน 1500 มก./วัน และน้ำดื่ม = ปัสสาวะต่อวัน + 500 ml
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 20–30 นาทีต่อวัน
  3. เลิกสูบบุหรี่
  4. ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
  5. เตรียมวางแผนการเงินและผู้ดูแลในอนาคต

ไตวายระยะที่ 4-5 (GFR < 30 ml/min/1.73m2)

มีอาการชัดเจน เหนื่อย บวม ซีด ผิวคล้ำ ปัสสาวะน้อย คลื่นไส้ อาเจียน ลมหายใจมีกลิ่นยูเรีย ชาตามปลายมือเท้า

  1. ศึกษาวิธีรักษาไตวายระยะสุดท้าย ได้แก่ การฟอกเลือด (Hemodialysis), การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal dialysis), หรือการปลูกถ่ายไต (Kidney transplantation) โดยพิจารณาข้อดี-ข้อเสียให้เหมาะกับตนเอง
  2. อาหารสำหรับโรคไต คล้ายระยะที่ 3 แต่หากเข้ารับการฟอกหรือการล้างไต ควรเพิ่มโปรตีนเป็น 1.3 g/kg/day (เช่น ไข่ขาว ปลา ถั่ว หมู ไก่)
  3. ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน และมีกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
  4. ติดตามแพทย์สม่ำเสมอ หากมีไข้ อาเจียน หรือหอบเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์


ตัวอย่างเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะที่ 3 ขึ้นไป

** เน้นผัก ปลา ไม่เค็ม ไม่มัน ผลไม้ที่หวานน้อย

  • แกงจืดวุ้นเส้น ใส่เห็ด เต้าหู้ หมูสับ ผักกาดขาว
  • แกงจืดมะระต้มกระดูกหมู
  • มะระผัดเต้าหู้
  • แกงจืดใบตำลึง ใส่หัวไช้เท้า แครอท เห็ดหอม หมูสับหรือเนื้อปลา
  • ข้าวกล้องหุงกับข้าวโพดแกะเมล็ด ใส่แครอท ถั่วลิสง เนื้อไก่สับ
  • ข้าวอบธัญพืช
  • ปลานึ่งเต้าเจี้ยว ใส่เห็ดหอม ขิงหั่นฝอย ต้นหอม ผักชี
  • ปลานึ่งมะนาว ใส่น้ำซุป โรยคึ่นช่าย
  • ขนมจีนน้ำยาปลา
  • ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมูหรือกุ้ง
  • ปลาดุกฟู ผักสลัด ราดน้ำจิ้ม
  • น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ ที่ไม่หวานจัด
  • เต้าทึงร้อน

** เลี่ยงขนมหวาน ขนมใส่กะทิ ขนมอบ เพราะมักใส่เนยและผงฟูซึ่งมีสารฟอสเฟตสูง
** งดกาแฟ ชา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สรุป

ภาวะไตเสื่อมหรือวายเรื้อรังเป็นโรคที่ค่อย ๆ ดำเนินไปโดยไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจสุขภาพเป็นประจำมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง การควบคุมโรคพื้นฐาน การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงยาที่เป็นพิษต่อไต และการดูแลสุขภาพทั่วไปอย่างต่อเนื่อง จะช่วยชะลอความเสื่อมของไตและยืดระยะเวลาไม่ให้เข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายได้

บรรณานุกรม

  1. Andrew S. Levey, et. al. 2015. "Glomerular Filtration Rate and Albuminuria for Detection and Staging of Acute and Chronic Kidney Disease in Adults: A Systematic Review." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา JAMA. 2015 Feb 24; 313(8): 837–846. (3 พฤศจิกายน 2568).
  2. Josette A. Rivera, et. al. 2012. "Update on the Management of Chronic Kidney Disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. 2012 Oct 15;86(8):749-754. (3 พฤศจิกายน 2568).
  3. Amir Qaseem, et. al. 2013. "Screening, Monitoring, and Treatment of Stage 1 to 3 Chronic Kidney Disease: A Clinical Practice Guideline From the American College of Physicians." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. (3 พฤศจิกายน 2568).
  4. David A Ferenbach and Joseph V Bonventre. 2016. "Acute kidney injury and chronic kidney disease: from the laboratory to the clinic." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nephrol Ther. 2016 Apr; 12(Suppl 1): S41–S48. (3 พฤศจิกายน 2568).
  5. "Chronic kidney disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (3 พฤศจิกายน 2568).
  6. "Stage 1 of Chronic Kidney Disease." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Davita.com. (3 พฤศจิกายน 2568).