ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)

ยาปฏิชีวนะเป็นหนึ่งในยาต้านจุลชีพที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับเชื้อแบคทีเรีย ยาอาจมีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อริกเค็ทเซีย คลาไมเดีย และแบคทีเรียชั้นสูงบางตัวด้วย แต่ไม่ครอบคลุมเชื้อไวรัส ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ในการใช้ยาปฏิชีวนะ (หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันตามความเข้าใจว่า "ยาฆ่าเชื้อ") รักษาโรคติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก หัด อีสุกอีใส คางทูม ฯลฯ

ยาปฏิชีวนะอาจจัดแบ่งกลุ่มได้หลายประเภท

  • ในทางการออกฤทธิ์แบ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Bacteriocidal antibiotics) กับยาที่ออกฤทธิ์เพียงยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย (Bacteriostatic antibiotics) แล้วให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราช่วยทำลายเชื้อนั้นแทน
  • ในทางคลินิกแบ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียหลายกลุ่ม (Broad-spectrum antibiotics) กับยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรียเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (Narrow-spectrum antibiotics)
  • ในทางเภสัชแบ่งยาปฏิชีวนะออกเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่มตามกลไกการทำอันตรายต่อเชื้อ เช่น ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ยับยั้งการสร้างกรดนิวคลิอิก หรือยับยั้งการสร้างโปรตีน ซึ่งยาที่ออกฤทธิ์ในแต่ละกลไกยังแบ่งตามโครงสร้างทางเคมีของยาได้อีกหลายกลุ่มดังตัวอย่างในรูปข้างล่าง ยากลุ่ม β-lactams คือยาที่มี β-lactam ring อยู่ในโครงสร้าง ยากลุ่มที่ลงท้ายด้วย s แสดงว่ายังมียาลูกอีกหลายตัวที่พัฒนาตามโครงสร้างทางเคมีของยาต้นแบบนั้น

กลไกการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย

กลไกการไม่ตอบสนองต่อยาของแบคทีเรียอาจมาจากธรรมชาติ เช่น แบคทีเรียกรัมลบส่วนใหญ่ไม่ตอบสนองต่อยาเพนิซิลลินทั้ง ๆ ที่ต้องมีการสร้างผนังเซลล์เช่นกัน ขณะที่แบคทีเรียกรัมบวกส่วนใหญ่ไม่ตอบสนองต่อยากลุ่มอะมิโนกลัยโคไซด์ทั้ง ๆ ที่ต้องมีการสร้างโปรตีนมาใช้ภายในเซลล์เหมือนกัน กลไกที่มีมาตามธรรมชาตินี้จึงเป็นสาเหตุให้ต้องมีการคิดค้นยาต้านเชื้อจุลชีพกลุ่มต่าง ๆ ให้สามารถรักษาแต่ละโรคติดเชื้อซึ่งเกิดจากจากแบคทีเรียหลากหลายชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลไกการไม่ตอบสนองต่อยาของแบคทีเรียยังมาจากอีกส่วนหนึ่ง คือการปรับตัวของแบคทีเรียเองเมื่อเคยรับยาซ้ำ ๆ แล้วยังไม่ตาย กลไกการปรับตัวของแบคทีเรียเพื่อให้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะแบบนี้ ในปัจจุบันพบว่ามี 5 วิธีหลัก คือ

  1. ป้องกันไม่ให้ยาเข้าเซลล์ของมัน (Decreased influx)
  2. เร่งให้ยาออกจากตัวของมันเร็วขึ้น (Increased efflux)
  3. เปลี่ยนแปลงจุดโจมตีของยา (Target site alteration)
  4. สร้างจุดโจมตีของยาขึ้นมาใหม่ ทดแทนที่ถูกยาจับไว้ (Target amplification)
  5. ทำลายยาปฏิชีวนะโดยตรง (Antibiotic inactivation) เช่น การสร้างเอ็นไซม์ขึ้นมาทำลายยา

ในแบคทีเรียตัวหนึ่ง ๆ อาจปรับตัวเองได้หลายวิธีจนทำให้มันสามารถดื้อยาได้พร้อมกันหลายขนาน ซึ่งน่ากลัวมาก ผู้ป่วยซึ่งป่วยด้วยโรคติดเชื้อที่มียารักษาเพียงไม่กี่ขนาน แล้วเชื้อตัวนั้นดื้อยาหมดทุกขนานเป็นผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนั้น กลไกการปรับตัวให้ดื้อยาปฏิชีวนะเหล่านี้ยังสามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานของมันเองได้ (Vertical gene transfer) อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดข้ามสายพันธุ์ไปสู่แบคทีเรียชนิดอื่นได้ (Horizontal gene transfer) กลไกการถ่ายทอดยีนดื้อยาข้ามสายพันธุ์ที่พบว่าเกิดขึ้นในปัจจุบันมี 3 วิธี คือ

1. Conjugation เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียสองตัวอยู่ใกล้กันจนสามารถส่งต่อชิ้นส่วนของดีเอ็นเอ หรือที่เรียกว่า plasmids ให้แก่กันได้ เป็นวิธีการถ่ายทอดหลักของสิ่งมีชีวิต

2. Transformation เป็นขบวนการที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม โดยแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตรับเอาซากชิ้นส่วนดีเอ็นเอของแบคทีเรียที่ตายแล้วเข้ามาในตัว

3. Transduction เป็นขบวนการนำพาชิ้นส่วนดีเอ็นเอของแบคทีเรียตัวหนึ่งเข้าสู่แบคทีเรียอีกตัวหนึ่งโดยไวรัส (bacteriophages)

ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานที่ใช้กันบ่อย

ตารางข้างล่างแสดงข้อบ่งชี้ ผลข้างเคียงหรือพิษที่มีรายงานแล้ว รวมทั้งข้อควรระวังของยาปฏิชีวนะกลุ่มต่าง ๆ ที่มักใช้กันโดยยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่แน่ชัด (ข้อบ่งชี้ต้องอาศัยการตรวจร่างกายโดยแพทย์ และ/หรือ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ)

กลุ่ม/ตัวอย่างยาข้อบ่งชี้ผลข้างเคียง/พิษ /ข้อควรระวัง
P
E
N
I
C
I
L
L
I
N
S
Penicillin Vใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียกรัมบวกของ
- ทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดที่มีแบคทีเรียแทรกซ้อน, คออักเสบจากแบคทีเรีย, ต่อมทอนซิลอักเสบ, ปอดบวม เป็นต้น
- ผิวหนัง เช่น โรคเซลล์เนื่อเยื่ออักเสบ, โรคไฟลามทุ่ง, โรคพุพอง, บาดแผลจากสัตว์หรือคนกัด เป็นต้น
- ระบบอื่น ๆ เช่น เหงือกอักเสบ, ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ, ไข้รูมาติก เป็นต้น
ผลข้างเคียง: อาการแพ้ เช่น ผื่นคัน ลมพิษ แน่นหน้าอก ใจสั่น หอบ เป็นลมหรือช็อกได้

พิษ: การใช้ยาในขนาดสูงเป็นเวลานานอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ไตอักเสบ (Interstitial nephritis) เม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic anemia) หรือมีไข้ขึ้น (Drug fever) ได้

ข้อควรระวัง: คนที่เคยมีประวัติแพ้ยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มนี้ ห้ามใช้ยาตัวอื่นในกลุ่มนี้อีกต่อไป
Aminopenicillins
  • Ampicillin
  • Amoxicillin
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้กว้างขวาง ทั้งกรัมบวกและกรัมลบ ใช้รักษาโรคติดเชื้อของ
- ทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดที่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน, คออักเสบจากแบคทีเรีย, ต่อมทอนซิลอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, หลอดลมฝอยอักเสบ, ปอดบวม, ไซนัสอักเสบ, ครู้ป (CROUP) จากแบคทีเรีย เป็นต้น
- หู เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน
- ทางเดินอาหาร เช่น โรคบิด, ไข้ไทฟอยด์, เหงือกอักเสบ, แผลอักเสบจากการถอนฟัน เป็นต้น
- ทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, ท่อปัสสาวะอักเสบ, หนองใน เป็นต้น
- ผิวหนัง เช่น แผลเปื่อย, แผลอักเสบติดเชื้อ, ฝี, ตุ่มหนอง, โรคพุพอง เป็นต้น
Penicillinase-resistant-penicillins
  • Cloxacillin
  • Dicloxacillin
ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียสแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus) โดยเฉพาะที่ผิวหนัง เช่น ฝี, ตุ่มหนอง, แผลติดเชื้อ, โรคพุพอง, โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ, กุ้งยิง, หนังตาอักเสบ, ถุงน้ำตาอักเสบ, หูชั้นนอกอักเสบ, ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ เป็นต้น
Aminopenicillins + β-lactamase inhibitors
  • Augmentin® (Amoxicillin + Clavulanic acid)
  • Unasyn® (Ampicillin + Sulbactam)
ยากลุ่มนี้มีข้อบ่งชี้เหมือน Aminopenicillins แต่โอกาสเชื้อดื้อยาจะน้อยกว่าเพราะมียาผสมที่ยับยั้งเอ็นไซม์ β-lactamase ของเชื้อ ซึ่งมาพร้อมกับราคาที่แพงขึ้น
C
E
P
H
A
L
O
S
P
O
R
I
N
S
1st generation
  • Cefadroxil
  • Cephalexin
  • Cephradine
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้กว้างขวาง ทั้งกรัมบวกซึ่งรวมทั้ง S. aureus, S. epidermidis และกรัมลบบางตัวเช่น E. Coli, Klebsiella ดังนั้นจึงใช้รักษาโรคติดเชื้อของ
- ทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดที่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน, คออักเสบจากแบคทีเรีย, ต่อมทอนซิลอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, หลอดลมฝอยอักเสบ, ปอดบวม, ไซนัสอักเสบ, ครู้ป (CROUP) จากแบคทีเรีย
- หู เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน
- ผิวหนัง เช่น แผลอักเสบติดเชื้อ, ฝี, ตุ่มหนอง, โรคพุพอง
- ทางเดินปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, ท่อปัสสาวะอักเสบ
- อวัยวะอื่น เช่น เหงือกอักเสบ, แผลอักเสบจากการถอนฟัน, กระดูกอักเสบ, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
ผลข้างเคียง: อาการแพ้เหมือนในกลุ่ม PENICILLINS แต่เกิดน้อยกว่า (10% ของผู้ที่แพ้ยากลุ่ม PENICILLINS จะแพ้ยาในกลุ่ม CEPHALOSPORINS ด้วย)

พิษ: การใช้ยาในขนาดสูงเป็นเวลานาน ๆ อาจเกิด Coombs-positive anemia (3%)

ข้อควรระวัง: ยากลุ่มนี้มีปฏิกิริยากับยาอื่นหลายตัว เช่น ยารักษาโรคกระเพาะ, วัคซีน BCG, วัคซีนไทฟอยด์ จึงไม่ควรใช้ร่วมกัน ควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 2-3 วัน
ยากลุ่มนี้บางตัวมีรายงานของการเกิด Disulfiram reaction ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยานี้ Disulfiram reaction จะเกิดภายใน 15-30 นาทีหลังดื่มแอลกอฮอล์ โดยอาจมีอาการได้หลายแบบ เช่น อาเจียน เหงื่อออกมาก ชา อ่อนแรง เคลื่อนไหวผิดปกติ คลุ้มคลั่ง ผิวหนังลอก ตับอักเสบ ดีซ่าน มองไม่เห็นภาพ เม็ดเลือดผิดปกติ เกิดเมทฮีโมโกลบินในเลือด (Methemoglobinemia) ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยากลุ่มนี้
2nd generation
  • Cefaclor
  • Cefprozil
  • Cefuroxime
  • Loracarbef
เหมือน 1st generation แต่ครอบคลุมกรัมลบได้มากขึ้น จึงนิยมใช้ในการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น
3rd generation
  • Cefdinir
  • Cefditoren
  • Cefixime
  • Cefpodoxime
  • Ceftibuten
เหมือน 2nd generation แต่ครอบคลุมกรัมบวกได้น้อยลงและกรัมลบได้กว้างขวางขึ้น จึงนิยมใช้รักษาการติดเชื้อที่รุนแรงที่จำเป็นต้องใช้ยาฉีดในระยะแรก เมื่อดีขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นยากินต่อจนครบระยะเวลาในการรักษา
F
L
U
O
R
O
Q
U
I
N
O
L
O
N
E
S
1st generation
  • Nalidixic acid
ใช้รักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียกรัมบวกที่ต้องการออกซิเจนในการเจริญเติบโต (Aerobic gram positive bacteria) เช่น Streptococcusผลข้างเคียง: อาการแพ้ เช่น ผื่นแดง ผื่นคัน ลมพิษ ผิวหนังลอกเมื่อถูกแสง ปวดข้อ ข้อบวม เอ็นอักเสบ เอ็นฉีกขาด คลื่นไส้ ท้องเสีย เป็นลมหรือช็อกได้

พิษ: การใช้ยานี้ในขนาดสูงเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก ชา อ่อนแรง ง่วงซึม ปวดศีรษะ เวียนศรีษะ เห็นภาพผิดปกติ เม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic anemia) ดีซ่าน เกิดภาวะกรดในเลือด (Metabolic acidosis) ได้

ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก, มีภาวะพร่องเอ็นไซม์ G-6-P-D, ผู้ที่ต้องใช้ยาควบคุมการเต้นของหัวใจยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาขยายหลอดลมเป็นประจำ, และไม่ควรใช้ในหญิงมีครรภ์รวมถึงช่วงที่ให้นมบุตร
2nd generation
  • Ofloxacin
  • Norfloxacin
  • Ciprofloxacin
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้กว้างขวางขึ้น ทั้ง Aerobic gram positive, Mycoplasma, Gram negative และ Pseudomonas ใช้รักษาโรคติดเชื้อของ
- ทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ต่อมลูกหมากอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, หนองใน เป็นต้น
- ทางเดินอาหาร เช่น โรคบิดไม่มีตัว, อหิวาตกโรค, ลำไส้อักเสบ, เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เป็นต้น
3rd generation
  • Levofloxacin
ยาถูกออกแบบมาให้คลุมแบคทีเรียกรัมบวกได้มากขึ้น ทำให้สามารถใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจ ผิวหนัง หู กระดูกและข้อ และโรคแอนแทรกซ์ได้ นอกเหนือจากโรคที่ 2nd generation บ่งชี้
4th generation
  • Moxifloxacin
  • Gemifloxacin
คลุมเชื้อเหมือน 3rd generation + Anaerobes, Chlamydia, และเชื้อ Streptococcus pneumoniae ที่ดื้อยาตัวอื่น ๆ จัดเป็นยาปฏิชีวนะชนิดกินที่ออกฤทธิ์กว้างมาก ซึ่งค่อนข้างน่ากลัวหากผู้ป่วยหาซื้อรับประทานเอง เพราะยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงมากมายหลายระบบ และบางครั้งก็รุนแรง
M
A
C
R
O
L
I
D
E
S
ยากลุ่มนี้เป็น Bacteriostatic ได้แก่
  • Erythromycin
  • Azithromycin
  • Clarithromycin
- ใช้รักษาโรคติดเชื้อจาก Streptococcus, H. influenzae, Mycoplasma pneumoniae, Chlamydia   เช่น ไซนัสอักเสบ, หูชั้นกลางอักเสบ, คอตีบ, ไอกรน, หลอดลมอักเสบ, ปอดบวมจากเชื้อไมโคพลาสมา, โรคริดสีดวงตา, อหิวาตโรค, บิดอะมีบา, แผลริมอ่อน, ซิฟิลิส, หนองในเทียม, ฝีมะม่วง
- ใช้รักษาโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง หู จมูก ช่องปาก ในผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน
- ใช้รักษาโรคติดเชื้อ Staphylococcus (แทน Cloxacillin) ในผู้ป่วยที่แพ้เพนิซิลลิน
ผลข้างเคียง: มวนท้อง คลื่นไส้ ท้องเดิน
พิษ: หากใช้ติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ อาจเกิดตับอักเสบ
ข้อควรระวัง:
1. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
2. ห้ามใช้ร่วมกับยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วง ชื่อเทอร์เฟนาดีน (Terfenadine) เพราะอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจนถึงหยุดเต้นได้
3. ให้ระวังการใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับยาดังต่อไปนี้: กลุ่ม Benzodiazepines, Clozapine, Carbamazepine, Cisapride, Disopyramide, Ergotamine, กลุ่ม HMG-CoA Reductase Inhibitors, Quinidine, Theophylline, Warfarin
เพราะจะทำให้ระดับยาของทั้งคู่สูงขึ้น หากกำลังใช้ตัวใดตัวหนึ่งในขนาดสูงอยู่แล้ว ระดับที่สูงขึ้นก็อาจเป็นพิษได้
T
E
T
R
A
C
Y
C
L
I
N
E
S
ยากลุ่มนี้เป็น Bacteriostatic ได้แก่
  • Tetracycline
  • Doxycycline
  • Minocycline
  • Demeclocycline
- ใช้รักษาโรคติดเชื้อริกเค็ทเซีย (ไข้ไทฟัส), ไมโคพลาสมา (ปอดบวม), สไปโรคีตส์ (โรคไลม์ โรคเล็ปโตสไปโรซิส ซิฟิลิส), คลาไมเดีย (ริดสีดวงตา หนองในเทียม)
- ใช้รักษาสิวที่ติดเชื้อ
- ใช้รักษาอหิวตกโรค
- เป็นยาร่วมตัวหนึ่งในการรักษาและป้องกันไข้มาลาเรียชนิดฟาลซิพารัม
ผลข้างเคียง: คลื่นไส้อาจียน ท้องเดิน ผื่นเมื่อโดนแดด ปากอักเสบ ปวดศีรษะ ทำให้ฟันมีสีเหลือง และยับยั้งการเจริญเติบโตของกระดูก

พิษ: ในขนาดสูงมีพิษต่อตับ ไต

ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี, ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์และช่วงที่ให้นมบุตร, และห้ามใช้ในคนที่เป็นโรคตับหรือไตอยู่ก่อน
M
E
T
R
O
N
I
D
A
Z
O
L
E
Metronidazoleเป็นยาที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ชอบออกซิเจน (Anaerobes) ได้ดี จึงใช้รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจาก Anaerobes เช่น ฝีในตับ ฝีในช่องท้อง การอักเสบหรือแตกทะลุของทางเดินอาหาร

Metronidazole ยังเป็นยาหลักที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อโปรโตซัวบางตัว เช่น โรคบิดอะมีบา, โรคทริโฆโมนิเอสิส (Trichomoniasis)
ผลข้างเคียง: คลื่นไส้อาเจียน รู้สึกมีรสปร่าในปาก แสบปากแสบลิ้น

พิษ: ในขนาดสูงอาจทำให้ชัก วิงเวียน เสียการทรงตัว

ข้อควรระวัง: Disulfram reaction ซึ่งพบบ่อยกว่ายากลุ่ม CEPHALOSPORINS ดังนั้นจึงห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงที่ใช้ยานี้โดยเด็ดขาด
C
H
L
O
R
A
M
P
H
E
N
I
C
A
L
Chloramphenicolเป็น Bacteristatic ที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเขตร้อนได้อย่างกว้างขวาง ทั้งไทฟอยด์ ไทฟัส บาดทะยัก แอนแทรกซ์ อีกทั้งยายังเข้าเนื้อสมองได้ดีมาก ทำให้ใช้รักษาโรคติดเชื้อทางสมองได้ดี นอกจากนั้นยายังคลุมพวก Anaerobes รวมทั้ง Clostridium perfringens ซึ่งทำให้เกิดโรคหนังเน่า (Necrotizing fasciitis) แต่เนื่องด้วยผลข้างเคียงที่รุนแรงจึงจัดเป็นยาอันตรายที่จำกัดการใช้ในรูปของยาหยอดตา/หู ยาป้ายตา/แผล และยาฉีดสำหรับใช้ในโรงพยาบาล แต่ยารับประทานก็ยังมีอยู่ ประชาชนไม่ควรซื้อหามารับประทานเองผลข้างเคียง: - คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน ปากเปื่อย ปากเป็นแผล
- กดการเจริญเติบโตของไขกระดูก ก่อให้เกิดโรคโลหิตจางชนิด Aplastic anemia
- มีรายงานการฉีดคลอแรมเฟนิคอลเข้าทางหลอดเลือดดำของเด็กทารกแรกคลอดเพื่อรักษาโรคติดเชื้อ ตัวยาก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่เรียกว่า Gray baby syndrome คือเด็กมีอาการอาเจียน ท้องอืด ไม่ดูดนม ตัวเขียว เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ความดันโลหิตต่ำ ตัวเย็น ช็อก หมดสติ และเสียชีวิตใน 2-3 ชั่วโมง)
- อาจทำให้เกิดอาการโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก ในรายที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-P-D
ข้อควรระวัง: - ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 4 เดือน, หญิงตั้งครรภ์, หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร, ผู้ป่วยโรคของไขกระดูก
- ให้ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต
L
I
N
C
O
S
A
M
I
D
E
S
ยากลุ่มนี้เป็น Bacteriostatic ได้แก่
  • Lincomycin
  • Clindamycin
กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้บรรจุยา Clindamycin ลงในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้เกิดการใช้กันแพร่หลายขึ้น แต่ยาก็มีผลข้างเคียงที่สำคัญ
ยากลุ่มนี้สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ Bacteroides fragilis, Anaerobes, S. aureus, S. coagulase-negative, Streptococcus ได้ดี ยาซึมผ่านเข้าเนื้อกระดูกได้ดีมาก ทำให้ใช้รักษาโรคติดเชื้อของ
- กระดูก
- ในช่องท้อง
- การติดเชื้อในช่องปาก
- รักษาสิวที่ติดเชื้อ

นอกจากนั้นยังสามารถรักษาโรคติดเชื้อโปรโตซัวบางชนิดได้ เช่น Toxoplasmosis, Malaria แต่ไม่ได้ใช้เป็นยาตัวแรก
ผลข้างเคียง: ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน มีรสขมในปาก ผื่นคัน ลมพิษ ข้ออักเสบหลายข้อ ตับอักเสบ ดีซ่าน เม็ดเลือดขาวต่ำ การทำงานของไตเสียไป
พิษ: การใช้ในขนาดสูงหรือใช้นานเกิน 1 สัปดาห์ อาจเกิดทำให้ Clostridium difficile ซึ่งเป็นแบคทีเรียตัวหนึ่งในลำไส้ใหญ่เพิ่มจำนวนขึ้นจนทำให้เกิดภาวะ Pseudomembranous colitis จะมีอาการท้องเสียเรื้อรัง ท้องอืด ปวดท้อง ถ่ายเป็นเลือด หรือถึงขั้นลำไส้ทะลุ
ข้อควรระวัง: - ให้ระวังการใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เด็ก ผู้ป่วยโรคตับ และโรคไต โดยแพทย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้พิจารณา
- ควรเฝ้าระวังอาการท้องเสียในระหว่างการใช้ยานี้ เพราะอาจเกิดจากการแพร่กระจายของเชื้อ Clostridium difficile
- ควรตรวจการทำงานของไตและตับเป็นระยะ หากจำเป็นต้องใช้ยานี้ติดต่อกันนาน ๆ
S
U
L
F
O
N
A
M
I
D
E
S
ยากลุ่มนี้เป็น Bacteriostatic ได้แก่
  • Sulfadiazine
  • Sulfisoxazole
  • Cotrimoxazole (Trimethoprim + Sulfamethoxazole)
ยากลุ่มซัลฟาเป็นยาที่ออกฤทธิ์นาน ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ไทฟอยด์ บิดชิเกลลา อหิวาต์ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ แผลริมอ่อน เป็นต้น

นอกจากนั้นยังใช้รักษาโรคปอดอักเสบจากโปรโตซัว Pneumocystis carinii ในผู้ป่วยโรคเอดส์
ผลข้างเคียง: คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน
- อาจเกิดอาการแพ้ยา โดยจะขึ้นผื่นคัน ปากบวม ตาบวม หรือมีเม็ดใส ๆ ขึ้นตามปาก ตา ทวารหนัก ช่องคลอด ลำตัวหรือแขนขา บางคนอาจแพ้รุนแรงจนหนังลอก ตาเปื่อย ปากเปื่อย ซึ่งเรียกว่า กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome)
- อาจทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวหรือเกร็ดเลือดน้อยลง หรือเกิดโรคโลหิตจางชนิดอะพลาสติกได้
- อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกในผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-P-D ได้
ข้อควรระวัง: - ผู้ที่มีเคยแพ้ยาซัลฟาหรือมีภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-P-D ห้ามใช้ยาซัลฟาตัวใดตัวหนึ่งอีกต่อไป
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย

ยาที่ไม่อยู่ในตารางข้างต้นนี้มิได้หมายความว่าจะไม่มีคมดาบอีกด้านหนึ่ง ความจริงยาทุกชนิดควรอ่านฉลากกำกับการใช้ยาโดยละเอียดก่อนใช้ทุกครั้ง (ฉลากกำกับการใช้ยาอยู่ภายในบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะบอกชื่อทางเคมีของยา คุณสมบัติ การออกฤทธิ์ ข้องบ่งชี้ ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ข้อควรระวัง และข้อห้ามใช้สำหรับยาตัวนั้น ๆ)