แคลเซียม (Calcium, Ca)

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยคิดเป็น 1-2% ของน้ำหนักตัวทั้งหมด แคลเซียมประมาณ 99% อยู่ในกระดูกและฟัน อีก 1% อยู่ในเลือดและเซลล์ต่าง ๆ ทำหน้าที่สำคัญ เช่น ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ การส่งกระแสประสาท การหลั่งฮอร์โมน การแข็งตัวของเลือด และส่งสัญญาณในเซลล์

ในร่างกาย แคลเซียมอยู่ในรูปสารประกอบหลายชนิด เช่น hydroxyapatite (Ca10[PO4]6[OH]2) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูก, แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) หรือหินปูน, แคลเซียมออกซาเลต (CaC2O4) ที่พบในนิ่วไต ส่วนแคลเซียมกลูโคเนตเป็นยาฉีดที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ โพแทสเซียมในเลือดสูง และพิษจากแมกนีเซียม

ระดับแคลเซียมในเลือดถูกควบคุมให้อยู่ในช่วง 8.5–10.5 mg% อย่างสม่ำเสมอ โดยอาศัยฮอร์โมนพาราไทรอยด์และแคลซิโตนิน แม้ปริมาณแคลเซียมในอาหารจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่างกายจะปรับโดยเก็บไว้ในกระดูกและปล่อยออกเมื่อจำเป็น ทำให้กระดูกมีการสร้างและสลายตลอดเวลา

บทบาทของแคลเซียมในร่างกาย

แคลเซียมนอกจากจะสร้างกระดูกและฟันแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในระดับเซลล์และระบบต่าง ๆ ดังนี้:

  1. ควบคุมการหลั่งสารสื่อประสาท
  2. ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ
  3. ควบคุมการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน
  4. เป็นปัจจัยร่วมในการแข็งตัวของเลือด
  5. ควบคุมการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ
  6. รักษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย

แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง

แคลเซียมพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม ยกเว้นในผู้ป่วยโรคไตวายหรือโรคกระดูกพรุน

กรมอนามัยแนะนำให้ผู้ใหญ่รับแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม และเพิ่มเป็น 1000–1200 มิลลิกรัมในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ ใบชะพลู ใบยอ ผักกระเฉด มะเขือพวง กระเจี๊ยบ ปลากระป๋อง กุ้งแห้ง ปลาเล็ก นม นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ไข่ งาดำ ส้ม และมะเดื่อ

ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้สูงสุดเพียงมื้อละประมาณ 500 มิลลิกรัม จึงควรกระจายการรับประทานตลอดทั้งวัน

แคลเซียมถูกดูดซึมผ่านตัวรับ TRPV6 แล้วจับกับโปรตีน Calbindin ซึ่งส่งต่อไปยังปั๊ม Ca2+-Mg2+ ATPase เพื่อนำแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือด โดยแลกกับแมกนีเซียม 1 อิออน วิตามินดีช่วยกระตุ้นการสร้าง Calbindin จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียม

ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ได้แก่ วิตามินดี แลคโตส โปรตีน คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ถูกย่อย (เช่น ใยอาหารจากกล้วย หัวหอม ถั่วเหลือง แอสพารากัส) และสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด ผู้ที่ใช้ยาลดกรดเป็นประจำจึงเสี่ยงต่อการดูดซึมแคลเซียมลดลง

ปัจจัยที่ยับยั้งการดูดซึม ได้แก่ สาร phytates (ในธัญพืช), oxalate (ในผักโขม รูบาร์บ มันเทศ ถั่ว), phosphoric acid (ในน้ำอัดลม), แอลกอฮอล์, อาหารไขมันสูง และใยอาหารมากเกินไป

ส่วนปัจจัยที่เพิ่มการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ได้แก่ การบริโภคอาหารเค็มจัดและคาเฟอีนในกาแฟหรือชา

ภาวะขาดแคลเซียม

ไม่สามารถตรวจภาวะขาดแคลเซียมได้จากระดับในเลือด เพราะร่างกายควบคุมระดับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติแม้จะขาด หากร่างกายขาดแคลเซียม จะดึงจากกระดูกมาใช้ ส่งผลให้กระดูกบางลง ตรวจพบได้จากภาพเอกซเรย์, การวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD), หรือพบว่ามีกระดูกหักง่าย

แนวทางการรักษาคือเพิ่มการรับประทานแคลเซียมและตรวจระดับวิตามินดีในเลือด หากพบว่าขาดก็ควรเสริมวิตามินดีร่วมด้วย ทั้งนี้ควรปรับบ้านและการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงการหกล้ม

ในกรณีที่ตรวจพบ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ อาจเกิดจากพาราไทรอยด์ทำงานผิดปกติ, การดื้อต่อฮอร์โมน, การขาดวิตามินดี หรือภาวะไตวาย ซึ่งต้องรักษาที่สาเหตุ หากรักษาไม่ได้จึงให้แคลเซียมและวิตามินดีเสริมระยะยาว

พิษของแคลเซียม

พิษของแคลเซียมพบได้จากอาหารเสริมที่รับในปริมาณสูง ไม่พบจากอาหารตามปกติ อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ท้องอืด ปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสีย (เรียกว่า calcium-alkali syndrome) และอาจเพิ่มความเสี่ยงของนิ่วที่ไต

การรับแคลเซียมร่วมกับยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ อาจทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงเกินไป ส่วนการรับประทานร่วมกับยาดิจอกซินอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ นอกจากนี้ยังมีผลขัดขวางการดูดซึมของยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาต้านไวรัส ยากันชัก ธาตุเหล็ก และฮอร์โมนไทรอยด์

สรุป

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุจำเป็นที่มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างของร่างกาย การทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และกระบวนการทางสรีรวิทยาอื่น ๆ แม้ระดับในเลือดจะคงที่ตลอดเวลา แต่หากร่างกายขาด แคลเซียมจะถูกดึงออกจากกระดูก ทำให้เสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายและสมดุล เช่น ผัก ผลไม้ ปลาเล็ก นม เต้าหู้ และงาดำ รวมทั้งเสริมวิตามินดีเมื่อจำเป็น เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาหารเสริมในคนทั่วไป

บรรณานุกรม

  1. "Calcium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (10 มีนาคม 2563).
  2. "Nutrition Requirements." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา British Nutrition Foundation. (30 มกราคม 2563).
  3. "Thai RDI." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (1 กุมภาพันธ์ 2563).
  4. "Calcium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Oregon State University. (9 กุมภาพันธ์ 2563).
  5. "Calcium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (9 กุมภาพันธ์ 2563).
  6. "calcium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา whfoods.org. (10 มีนาคม 2563).
  7. "Calcium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (10 มีนาคม 2563).
  8. "12.2 Calcium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Nutrition Flexbook. (10 มีนาคม 2563).
  9. Daisy Whitbread. 2019. "Top 10 Foods Highest in Calcium." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MYFOODDATA. (10 มีนาคม 2563).
  10. James L. Lewis, III. 2018. "Overview of Disorders of Calcium Concentration." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (10 มีนาคม 2563).
  11. James L. Lewis, III. 2018. "Hypocalcemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (10 มีนาคม 2563).
  12. James L. Lewis, III. 2018. "Hypercalcemia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (10 มีนาคม 2563).