ยากลุ่มเออร์กอต อัลคาลอยด์ (Ergot alkaloids)

ยากลุ่มนี้เป็นยารักษาอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรน (Migraine) และคลัสเตอร์ (Cluster) โดยเฉพาะ ไม่มีผลต่ออาการปวดจากอย่างอื่น และห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะยากระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ทำให้แท้งได้

ที่มาและการออกฤทธิ์:

เออร์กอต อัลคาลอยด์ เป็นพิษของราตระกูล Claviceps ที่ขึ้นบนเมล็ดข้าว พิษของราชนิดนี้ทำให้คนและสัตว์ที่รับประทานมันเข้าไปเกิดอาการที่เรียกว่า "ergotism" คือ ประสาทหลอน รู้สึกคันและแสบร้อนตามผิวหนัง นิ้วมือนิ้วเท้าเขียว แห้งตาย และหลุดออกไปในที่สุด

ทางการแพทย์พบว่ามันเป็นสารที่กระตุ้นการหลั่งซีโรโทนิน (Serotonin, สารสื่อประสาทที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย) ซึ่งทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ทำให้อยากอาหาร นอนหลับ ควบคุมระบบเมตะบอลิซึม ส่งเสริมการเจริญเติบโต ควบคุมอารมณ์ ความโกรธ และความก้าวร้าว (แต่ถ้าซีโรโทนินมากเกินไปก็เกิดอาการทางจิตได้) ในเลือดจะมีซีโรโทนินเก็บไว้ในเกล็ดเลือด เมื่อมีเลือดออกเกล็ดเลือดจะปล่อยสารซีโรโทนินออกมาทำให้หลอดเลือดหดตัว เลือดจะออกน้อยลง ในระบบทางเดินอาหารจะมีเซลล์เอ็นเตอโรโครแมฟฟิน (enterochromaffin cells) คอยหลั่งซีโรโทนิน ถ้าเรากินอาหารอะไรที่ทำให้มันระคายเคือง มันจะปล่อยซีโรโทนินออกมาจำนวนมากเพื่อเพิ่มการการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ ไล่อาหารออกไป เราจึงเกิดอาการท้องเสียและอยากอาเจียน

ฤทธิ์ของเออร์กอต อัลคาลอย์ยังทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่ผนังหลอดเลือดและที่ผนังมดลูกหดตัวโดยตรง มันจึงถูกผลิตออกมาใช้รักษาอาการไมเกรนซึ่งเกิดจากการขยายตัวผิดปกติเป็นครั้งคราวของหลอดเลือดสมอง และใช้รักษาภาวะตกเลือดหลังคลอดที่ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มดลูดหดตัวไม่ดี

การใช้ยาที่เหมาะสม

  1. ใช้แก้อาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรนและคลัสเตอร์
  2. ไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะเป็นพัก ๆ ที่พบบ่อยในวัยรุ่นและวัยทำงาน พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีลักษณะการปวดที่จำเพาะคือ มีช่วงเตือนว่าจะเริ่มเกิดอาการ (Prodrome) ประมาณ 1-2 วัน โดยจะมีอารมณ์เปลี่ยน หาวบ่อย อยากอาหาร กระหายน้ำ ท้องผูกแต่ปัสสาวะบ่อย จากนั้นอาจมีอาการนำ (Aura) คือเห็นแสงแฟล็ชหรือเห็นภาพผิดปกติ การพูดผิดปกติ กล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้สึกเหมือนมีใครมาจับตัวไว้ หรือได้ยินเสียงประหลาด ซึ่งจะเป็นอยู่ประมาณ 5-60 นาที แล้วจะเข้าสู่อาการปวดศีรษะตุบ ๆ อย่างรุนแรง (Attack) คลื่นไส้ ตาพร่า กลัวแสง กลัวเสียงดัง โดยอาการจะเป็นนาน 4-72 ชั่วโมง สุดท้ายจะเข้าสู่ระยะหายปวด (Postdrome) แต่จะมีอาการสับสน วิงเวียน อ่อนเพลีย หมดแรง กับยังไวต่อแสงและเสียงอยู่อีกประมาณ 1-2 วันจึงจะหายสนิท พออาการหายไปแล้วก็กลับมาทำงานได้ตามปกติเหมือนไม่เคยป่วย จนกว่าอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง หากตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองจะไม่พบความผิดปกติ และอาการปวดศีรษะจะดีขึ้นเมื่อดื่มกาแฟ และ/หรือ ใช้ยากลุ่มเออร์กอต อัลคาลอยด์

    ส่วนโรคคลัสเตอร์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากหลอดเลือดในสมอง สารฮีสตามีน และเส้นประสาทไตรเจอมินัล ช่วงอายุที่พบก็คล้ายกัน แต่คลัสเตอร์พบในเพศชายมากกว่า อาการปวดจะเป็นลักษณะปวดฉับพลัน รุนแรง โดยไม่มีอาการเตือนอย่างไมเกรน เริ่มจากแสบร้อนข้างจมูก ปวดรอบกระบอกตาข้างใดข้างหนึ่ง แล้วลามไปปวดที่ขมับและหน้าผากข้างเดียวกัน (ไม่ใช่ปวดทั้งศีรษะ) ร่วมกับมีน้ำมูกน้ำตาไหล ตาแดง หนังตาตก คัดจมูกข้างที่ปวด มักเป็นตอนกลางคืน เป็นครั้งหนึ่ง ๆ นาน 15-180 นาที วันละหลายครั้งหรือเป็นวันเว้นวันติด ๆ กันประมาณ 1 สัปดาห์ - 1 ปี (ส่วนใหญ่ประมาณ 2 สัปดาห์ - 3 เดือน) แล้วจึงเข้าสู่ช่วงที่ไม่ปวดเลย ทำงานได้ตามปกติอย่างน้อย 2 สัปดาห์ - 1 ปี แล้วก็จะเริ่มปวดอีก เมื่อเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองและตรวจน้ำไขสันหลังจะปกติ อาการปวดคลัสเตอร์รักษายากกว่าไมเกรน ยาหลักไม่ใช่กลุ่มเออร์กอต อัลคาลอยด์ แต่เป็นยากลุ่มทริปแทน สเตียรอยด์ฉีด และการให้สูดดมก๊าซออกซิเจน กรณีที่ใช้ยาไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดเส้นประสาท

    ยาในกลุ่มเออร์กอต อัลคาลอยด์ ที่ใช้บรรเทาอาการปวดไมเกรนและคลัสเตอร์ มี 2 ตัว คือ

    • Ergotamine ยานี้ทำมาเป็นเม็ดสำหรับรับประทาน อมใต้ลิ้น และเหน็บทวารหนัก ของบางบริษัทอาจผสมกับ caffeine และ/หรือ พาราเซตามอลด้วย ควรเริ่มใช้ทันทีเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะเกิดอาการ ขนาดเริ่มต้นคือ 2 มิลลิกรัม หากยังปวดมากอยู่ให้ซ้ำได้ครั้งละ 1-2 มิลลิกรัม ทุก 30 นาที สูงสุดไม่ควรเกิน 6 มิลลิกรัม/ระยะเวลาการเกิดอาการทั้งหมด (3-5 วัน) หรือไม่ควรเกิน 10 มิลลิกรัม/สัปดาห์
    • Dihydroergotamine ยานี้ทำมาสำหรับฉีดเข้ากล้าม ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ และแบบพ่นจมูก จึงออกฤทธิ์เร็วกว่า Ergotamine แต่ก็พบผลข้างเคียงมากกว่า แพทย์จึงไม่นิยมใช้
    • ขนาดสำหรับฉีดคือครั้งละ 1 มิลลิกรัม ถ้าไม่หายปวดฉีดซ้ำได้อีกครั้งในอีก 1 ชั่วโมงถัดไป สูงสุดไม่ควรเกิน 6 มิลลิกรัม/สัปดาห์

      ขนาดสำหรับพ่นจมูกคือครั้งละ 0.5 มิลลิกรัม ซ้ำได้ทุก 15 นาทีถ้ายังไม่หายปวด แต่สูงสุดห้ามเกิน 3 มิลลิกรัม/วัน และรวมทั้งสัปดาห์ไม่ควรเกิน 4 มิลลิกรัม

  3. ใช้ในภาวะตกเลือดหลังคลอดที่เกิดจากมดลูกไม่รัดตัว
  4. ยาในกลุ่มนี้ที่ใช้เพื่อให้มดลูกหดรัดตัวจะเป็น Ergometrine หรือ Ergonovine ซึ่งมีทั้งแบบรับประทานและแบบฉีด แต่เนื่องจากยาเดี่ยวมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก บางบริษัทยาจึงผลิตมาในรูปผสมกับ Oxytocin ใช้หยดช้า ๆ เข้าหลอดเลือดดำแทนการฉีดเป็นครั้ง ๆ

  5. ใช้เพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน
  6. ยาที่ใช้เพื่อการนี้ไม่ใช่เออร์กอต อัลคาลอยด์ตามธรรมชาติ แต่สังเคราะห์มาจาก Ergocryptine โดยเติมโบรไมด์ (Bromide, Br) เข้าไปในโครงสร้างกลายเป็น Bromocriptine ทำหน้าที่กระตุ้นตัวรับโดปามีนและซีโรโทนินให้หลั่งสารสองตัวนี้ที่โรคพาร์กินสันขาด

ผลข้างเคียง พิษของยา และข้อควรระวัง

ยากลุ่มเออร์กอต อัลคาลอยด์จัดเป็นยาอันตราย ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นช้า ชาไม่รู้สึก หรือคันเหมือนมีอะไรมาไต่ หรือเจ็บเหมือนมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงตลอดเวลา บางคนจะปวดกล้ามเนื้อแทนปวดหัว และถ้าใช้เกินขนาดจะเกิดเส้นเลือดหดตัว ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าขาดเลือดไปเลี้ยง เขียว และเน่าตาย นอกจากนั้นอาจทำให้อวัยวะภายในเช่น ลำไส้ ตับ หัวใจ ขาดเลือดไปเลี้ยงด้วย โดยจะมีอาการปวดท้อง จุกแน่นลิ้นปี่ แน่นหน้าอก ใจสั่น หายใจลำบาก

หากเกิดอาการเหล่านี้ควรหยุดใช้ยาทันทีแล้วรีบไปพบแพทย์ ที่สำคัญยากลุ่มนี้ห้ามใช้ในหญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เพราะจะทำให้แท้งลูก

ข้อควรระวังอีกอย่างคือ ไม่ควรใช้ยากลุ่มเออร์กอต อัลคาลอยด์ร่วมกับยากลุ่มทริปแทน เพราะจะเสริมฤทธิ์ผลข้างเคียงซึ่งกันและกัน ควรเลือกใช้เพียงตัวใดตัวหนึ่งจนเต็มขนาด แล้วถ้ายังไม่หายปวดอาจเพิ่มยาแก้ปวดตัวอื่นแทน