วัคซีน T-VEC (Imlygic®)
Talimogene laherparepvec หรือที่เรียกโดยย่อว่า T-VEC เป็นวัคซีนชนิดฉีดเข้าก้อนมะเร็ง (intralesional vaccine) สำหรับรักษา มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ (unresectable melanoma) ในระยะ IIIB, IIIC และ IV โดยเฉพาะกรณีที่รอยโรคอยู่ที่ผิวหนัง ใต้ผิวหนัง หรือในต่อมน้ำเหลือง รวมถึงมะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด [1,2]
📖 ประวัติการพัฒนาวัคซีน
วัคซีน T-VEC พัฒนาโดยบริษัท Amgen ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพของสหรัฐอเมริกา สำหรับโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคกระดูก โรคไต และโรคภูมิคุ้มกัน แนวคิดของวัคซีนนี้คือการใช้ไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ปลอดภัยและมุ่งเป้าไปที่เซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติในร่างกาย
เมื่อไวรัสเข้าไปในเซลล์มะเร็ง มันจะเพิ่มจำนวนจนทำให้เซลล์มะเร็งแตกออก (lysis) และก่อให้เกิดการตายของเซลล์แบบกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (immunogenic cell death) ซึ่งจะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งอื่นๆ ด้วย
วัคซีนนี้ได้รับการรับรองจาก FDA ในปี ค.ศ. 2015 หลังจากผลลัพธ์ที่ดีจากการศึกษาทางคลินิก OPTiM trial และต่อมาได้รับการอนุมัติจาก EMA โดยมีชื่อทางการค้าว่า Imlygic®
🏥 การใช้ในประเทศไทย
ปัจจุบัน T-VEC ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อาจเนื่องจากราคาที่ยังสูงและข้อจำกัดด้านการเก็บรักษา อย่างไรก็ตามอาจมีการนำมาใช้ในบางกรณีเฉพาะภายใต้การศึกษาวิจัย
💉 วิธีฉีด T-VEC
แพทย์จะฉีด T-VEC เข้าก้อนมะเร็งโดยตรง (intralesional injection) โดยเข็มแรกจะใช้ขนาด 106 PFU/mL ปริมาณไม่เกิน 4 mL เข็มถัดไปจะเพิ่มขนาดเป็น 108 PFU/mL (ไม่เกิน 4 mL เช่นกัน) โดยฉีดเข็มที่สองห่างจากเข็มแรก 3 สัปดาห์ และฉีดต่อเนื่องทุก 2–3 สัปดาห์ จนกว่าก้อนมะเร็งจะยุบ
ในบางกรณี อาจใช้ร่วมกับยาภูมิคุ้มกันบำบัดกลุ่ม checkpoint inhibitors เช่น pembrolizumab เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แม้ว่าสามารถใช้ T-VEC เดี่ยวๆ (monotherapy) ได้เช่นกัน
วัคซีน T-VEC มีอายุการเก็บรักษา 2 ปี หากเก็บในอุณหภูมิระหว่าง -90°C ถึง -70°C
📊 ประสิทธิผลของวัคซีน
จากการทดลองทางคลินิก (Phase III OPTiM) ในกลุ่มผู้ป่วย 436 ราย พบว่า:
- อัตราการตอบสนองอย่างยั่งยืน ≥ 6 เดือน (durable response rate) อยู่ที่ 16.3% เทียบกับ 2.1% ในกลุ่มควบคุม [3]
- อัตราการตอบสนองรวมทั้งหมด (overall response rate) เท่ากับ 26% เทียบกับ 5.7% ในกลุ่มที่ใช้ GM-CSF [3]
- ผู้ป่วยที่ตอบสนองแบบสมบูรณ์ (complete response) มีสูงถึง 11% เทียบกับ 1% ในกลุ่มควบคุม [3]
- ผลลัพธ์ดีที่สุดในผู้ป่วยระยะเริ่มต้นของการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง (Stage IIIB–IVM1a) [4]
แม้ประสิทธิภาพโดยรวมอาจดูไม่สูงมาก แต่หากใช้ร่วมกับยากลุ่ม immune checkpoint inhibitors จะช่วยเพิ่มผลการรักษาได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีตำแหน่งรอยโรคเหมาะสมต่อการฉีด
⚠️ ผลข้างเคียงที่อาจพบ
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่:
- ไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว
- บวม แดง หรือปวดบริเวณที่ฉีด
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้
ผลข้างเคียงรุนแรงพบได้น้อย แต่อาจเกิดการติดเชื้อไวรัสเริมในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
📌 สรุป
Talimogene laherparepvec (T‑VEC) เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งแบบเฉพาะจุดที่ใช้ไวรัสดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายในการทำลายเซลล์มะเร็ง (oncolytic virus therapy) โดยมีประสิทธิภาพสูงในมะเร็งเมลาโนมาระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ วัคซีนนี้ได้รับการอนุมัติแล้วในหลายประเทศ และอาจกลายเป็นแนวทางเสริมที่สำคัญร่วมกับภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ในอนาคต แม้ว่ายังไม่สามารถใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าจับตามองสำหรับการรักษามะเร็งแบบเฉพาะทางที่มีผลข้างเคียงต่ำ
บรรณานุกรม
- "FDA Approves Talimogene Laherparepvec (T-VEC) for Advanced Melanoma
." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา melanoma.org. (14 กรกฎาคม 2568).
- "IMLYGIC (talimogene laherparepvec) - FDA." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา FDA. (14 กรกฎาคม 2568).
- "FDA Approves T-VEC for Advanced Melanoma - OncLive
." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา onclive.com. (14 กรกฎาคม 2568).
- "Talimogene laherparepvec." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (14 กรกฎาคม 2568).
- "Talimogene laherparepvec (T-VEC) - DermNet" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา DermNet. (14 กรกฎาคม 2568).
- "Talimogene Laherparepvec for the Treatment of Advanced Melanoma." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา AACR. (14 กรกฎาคม 2568).
- Emma H A Stahlie, et al. 2021. "T-VEC for stage IIIB-IVM1a melanoma achieves high rates of complete and durable responses and is associated with tumor load: a clinical prediction model." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Cancer Immunol Immunother. 2021 Jan 28;70(8):2291–2300. (14 กรกฎาคม 2568).