วัคซีนโรต้า (Rota Vaccine)
โรตาไวรัส (Rotavirus) เป็นสาเหตุสำคัญของอาการอุจจาระร่วงอย่างรุนแรงในทารกและเด็กเล็กทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
และในบางกรณีอาจถึงขั้นเสียชีวิต
โรตาไวรัสถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1973 โดย Dr. Ruth Bishop และคณะในออสเตรเลีย จากตัวอย่างอุจจาระของเด็กที่มีอาการท้องเสีย พบว่าไวรัสนี้เป็นไวรัสดีเอ็นเอคู่ (double-stranded RNA virus) ในตระกูล Reoviridae มีลักษณะคล้ายล้อกลม อยู่ภายในไซโตพลาสซึมของเซลล์เยื่อบุลำไส้ ภายหลังพบว่าสายพันธุ์ที่ก่อโรคมีหลากหลาย เด็กที่เคยติดเชื้อแล้วสามารถติดเชื้อซ้ำได้ แต่ครั้งถัดไปมักมีอาการเบาลง หรือแทบไม่มีอาการเลยในผู้ใหญ่ แสดงว่าภูมิคุ้มกันจากสายพันธุ์หนึ่งสามารถลดความรุนแรงจากการติดเชื้อสายพันธุ์อื่นได้
📖 ประวัติการพัฒนาวัคซีน
เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มียารักษาที่ฆ่าไวรัสได้โดยตรง วัคซีนจึงเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ปกครอง ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 มีความพยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันโรตาไวรัส โดยใช้เชื้อไวรัสจากสัตว์ เช่น วัว ลิง และหมู มาทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) และให้ทางปาก เพื่อเลียนแบบการติดเชื้อแบบธรรมชาติ หวังให้สามารถป้องกันได้หลายสายพันธุ์
ในช่วงแรก วัคซีนสามารถป้องกันได้เพียงสายพันธุ์เดียว กระทั่งปี 1998 มีการพัฒนา RotaShield® ซึ่งเป็นวัคซีนตัวแรกที่ป้องกันได้ถึง 3 สายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม วัคซีนนี้ถูกถอนออกจากตลาดหลังใช้งานเพียง 1 ปี เนื่องจากพบว่าทำให้เกิดภาวะลำไส้กลืนกัน (Intussusception) ในเด็ก โดยเฉพาะในช่วง 3-7 วันหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก เชื่อว่าสายพันธุ์ลิงที่นำมาใช้ก่อให้เกิดการหนาตัวของเนื้อเยื่อน้ำเหลืองบริเวณ Peyer’s patch จนทำให้ลำไส้เคลื่อนผิดตำแหน่ง ต่อมาแนวทางการพัฒนาจึงเลิกใช้ไวรัสจากลิง
ในปี 2006 มีวัคซีนรุ่นใหม่ที่ปลอดภัยมากขึ้นออกมา และในปี 2009 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ใช้วัคซีนโรต้าในทุกประเทศ ปัจจุบันวัคซีนแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักตามแหล่งที่มาและลักษณะของสายพันธุ์
- Human-derived monovalent live-attenuated oral vaccine
- Rotarix® (GSK) ใช้สายพันธุ์ RIX4414 - G1P[8] ขนาด 1.5 mL/โด๊ส ให้ทางปาก 2 โด๊สที่อายุ 2 และ 4 เดือน
- Rotavac® (Bharat Biotech) ใช้สายพันธุ์ 116E - G9P[11] ขนาด 0.5 mL/โด๊ส ให้ 3 โด๊สที่อายุ 2, 4 และ 6 เดือน
- Bovine-human reassortant pentavalent live-attenuated oral vaccine
- RotaTeq® (MSD) สายพันธุ์ G1, G2, G3, G4 และ P[8] ขนาด 2.0 mL/โด๊ส ให้ 3 โด๊สที่อายุ 2, 4 และ 6 เดือน
- Rotasiil® (Serum Institute of India) สายพันธุ์ G1, G2, G3, G4 และ G9 เป็นวัคซีนผงแห้งต้องละลายก่อนใช้ ขนาด 2.5 mL/โด๊ส ให้ 3 โด๊สที่อายุ 2, 4 และ 6 เดือน
- Lamb-derived, monovalent live-attenuated oral vaccine
วัคซีนจาก Lanzhou Institute of Biomedical Products ประเทศจีน ใช้สายพันธุ์ G10P[12] ให้ทางปาก 3 ครั้ง ที่อายุ 2, 4 และ 6 เดือน ภูมิคุ้มกันหลังรับวัคซีนอยู่ที่ประมาณ 60%
วัคซีนโรต้าทุกชนิดต้องเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2–8°C และห้ามแช่แข็ง
🏥 การใช้ในประเทศไทย
ก่อนปี พ.ศ. 2550 โรตาไวรัสเป็นสาเหตุสำคัญของการท้องเสียรุนแรงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีในประเทศไทย
ช่วงปี พ.ศ. 2549–2550 เริ่มมีการนำเข้าวัคซีนโรต้าชนิดกิน เช่น Rotarix และ RotaTeq ใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนหรือโครงการนำร่อง ต้องจ่ายเงินเอง
ปี พ.ศ. 2563 ประเทศไทยเริ่มบรรจุวัคซีนโรต้าในโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เด็กไทยทุกคนได้รับวัคซีนฟรี เริ่มตั้งแต่อายุ 2 เดือน โดยส่วนใหญ่ใช้ Rotarix
ปัจจุบันวัคซีนโรต้าช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าได้อย่างชัดเจน และมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ
💉 วิธีใช้วัคซีน
วัคซีนโรต้าให้ทางปากเท่านั้น ห้ามฉีดโดยเด็ดขาด สามารถให้แก่เด็กอายุ 6 สัปดาห์ ถึงไม่เกิน 6 เดือน หลังอายุ 6 เดือนไม่ควรให้ เพราะภูมิคุ้มกันจะเริ่มเกิดขึ้นเอง อีกทั้งช่วงอายุ 5–12 เดือน เป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดลำไส้กลืนกันได้เองสูงที่สุด
สามารถให้วัคซีนโรต้าพร้อมกับวัคซีนโปลิโอชนิดกินได้ แต่ไม่ควรผสมกันก่อน
ไม่ควรให้วัคซีนโรต้าในเด็กที่มีภาวะต่อไปนี้:
- ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- เคยมีประวัติลำไส้กลืนกัน
- มีความผิดปกติทางเดินอาหารแต่กำเนิด เช่น Meckel's diverticulum ที่ยังไม่ได้รับการรักษา
⚠️ ผลข้างเคียงที่อาจพบ
อาการที่อาจพบได้ ได้แก่ ไข้ เบื่ออาหาร ท้องร่วง อาเจียน งอแง อาการอื่น เช่น ท้องอืด ปวดท้อง ผิวหนังอักเสบ โดยทั่วไปเด็กสามารถทนต่อวัคซีนได้ดี และไม่พบอุบัติการณ์ของภาวะลำไส้กลืนกันเพิ่มขึ้น
หลังรับวัคซีน เด็กอาจขับเชื้อวัคซีนออกในอุจจาระหลายวัน ผู้ดูแลควรล้างมือหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม และควรให้วัคซีนครบตามจำนวนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ เด็กที่ได้รับวัคซีนแล้ว อาจติดเชื้อโรต้าไวรัสซ้ำได้ แต่อาการมักไม่รุนแรง
📌 สรุป
โรตาไวรัสเป็นสาเหตุสำคัญของอาการท้องเสียรุนแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา วัคซีนโรต้าเป็นวัคซีนชนิดกินที่ช่วยป้องกันอาการรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีวัคซีนหลายชนิดให้เลือกใช้ และในประเทศไทยมีการให้วัคซีนฟรีในโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตั้งแต่ปี 2563 วัคซีนนี้ควรให้ในช่วงอายุไม่เกิน 6 เดือน และไม่ควรใช้ในเด็กที่มีภาวะเสี่ยงบางอย่าง ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่รุนแรง และการเฝ้าระวังยังคงดำเนินต่อไปเพื่อความปลอดภัยของเด็กไทยทุกคน
บรรณานุกรม
- Ruth Bishop. 2009. "Discovery of rotavirus: Implications for child health." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา J Gastroenterol Hepatol. 2009;24 Suppl 3:S81-5. (28 เมษายน 2564).
- "Rotavirus." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา CDC. (28 เมษายน 2564).
- Penelope H. Dennehy. "Rotavirus Vaccines: an Overview." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Clinical Microbiology Reviews. (28 เมษายน 2564).
- Miguel O'Ryan. 2017. "Rotavirus Vaccines: a story of success with challenges ahead" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา F1000Res. 2017;6:1517. (28 เมษายน 2564).
- "Rotavirus vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (28 เมษายน 2564).
- "แนวทางการให้วัคซีนโรต้า
ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (27 เมษายน 2564).
- "ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (21 เมษายน 2564).
- "ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (20 เมษายน 2564).