วัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever Vaccine)
ไข้เหลืองเป็นโรคในกลุ่มไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัส Yellow fever virus ซึ่งอยู่ในกลุ่มฟลาวิไวรัส (Flaviviruses) โดยมียุงลายเป็นพาหะ สามารถแพร่เชื้อได้ทั้งในคนและลิง โดยประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ ส่วนผู้ที่แสดงอาการจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้อาเจียน และอาจมีตัวเหลืองตาเหลือง หรือเลือดออกในอวัยวะภายในได้ กรณีรุนแรงอาจมีตับและไตวาย ซึ่งโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 50% โรคนี้ยังไม่มียารักษา แม้ยังไม่พบการระบาดในทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทย แต่เป็นโรคที่ต้องระวังอย่างยิ่ง
ไข้เหลืองเป็นโรคประจำถิ่นในแอฟริกาและอเมริกาใต้ โดยประเทศที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ โบลิเวีย บราซิล โคลัมเบีย เอกวาดอร์ และเปรู มีรายงานผู้ป่วยประมาณ 200,000 ราย และเสียชีวิตประมาณ 30,000 รายต่อปี การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลืองก่อนเดินทางจึงเป็นเรื่องจำเป็นในประเทศที่ระบุเป็นพื้นที่เสี่ยง ซึ่งแสดงด้วยสีเหลืองและบานเย็นในแผนที่ (สีเทาอ่อนไม่จำเป็นต้องฉีด ส่วนสีเทาเข้มโดยทั่วไปไม่ต้องฉีด ยกเว้นบางกรณี)
📖 ประวัติการพัฒนาวัคซีน
วัคซีนไข้เหลืองที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1938 โดยนายแพทย์ Max Theiler (เจ้าของรางวัลโนเบลปี 1951) วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ (Live attenuated vaccine) พัฒนาจากสายพันธุ์ไวรัสไข้เหลือง 17D ที่เพาะในไข่ไก่ฟักหลายรอบ วัคซีนฉีดใต้ผิวหนัง (subcutaneous) ขนาด 0.5 mL เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอ
วัคซีนมีความปลอดภัยสูง ประสิทธิภาพดีเยี่ยม ภูมิคุ้มกันเกิดเร็วและคงอยู่นาน โดย 90% ของผู้ได้รับวัคซีนจะมีภูมิคุ้มกันภายใน 10 วัน และ 99–100% จะมีภูมิภายใน 30 วัน ภูมิคุ้มกันสามารถอยู่ได้นานกว่า 30–35 ปี หรืออาจตลอดชีวิต โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นอีก
🏥 การใช้ในประเทศไทย
ในประเทศไทย วัคซีนไข้เหลืองมีชื่อทางการค้าว่า Stamaril® ผลิตโดยบริษัท Sanofi Pasteur เป็นวัคซีนชนิดผงแห้งพร้อมตัวทำละลายในหลอดฉีดแบบ pre-filled ควรเก็บที่อุณหภูมิ 2–8ºC ก่อนใช้ และหลังผสมแล้วต้องฉีดทันที
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศรายชื่อ 42 ประเทศหรือดินแดนที่เป็นเขตระบาดของไข้เหลืองเมื่อปี พ.ศ. 2560 ได้แก่:
ทวีปอเมริกากลาง–ใต้ 13 ประเทศ: บราซิล, โบลิเวีย, โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, กายอานา, เกียนาฝรั่งเศส, ปานามา, เปรู, เวเนซูเอลา, ซูรินาเม, ตรินิแดดแอนโตเบโก, อาร์เจนตินา, ปารากวัย
ทวีปแอฟริกา 29 ประเทศ: แองโกล่า, เบนิน, บูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, แคเมอรูน, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, คองโก, โกตดิวัวร์, เอธิโอเปีย, แกมเบีย, กาบอง, กานา, กีนี, กินีบิสเซา, อิเควทอเรียลกินี, เคนยา, ไลบีเรีย, มาลี, มอริเตเนีย, เซเนกัล, เซียร์ราลีโอน, ซูดาน, เซาท์ซูดาน, ชาด, โตโก, ยูกันดา, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, ไนเจอร์, ไนจีเรีย
ผู้ที่มีแผนเดินทางไปประเทศเหล่านี้ควรได้รับวัคซีนล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วันก่อนเดินทาง เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเพียงพอ
สถานที่ให้บริการวัคซีนไข้เหลืองในประเทศไทย ได้แก่:
- สถาบันบำราศนราดูร กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี
- คลินิกเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคและอายุรศาสตร์การท่องเที่ยว สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ
- คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล กรุงเทพฯ
- ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (ควรติดต่อสอบถามล่วงหน้า):
- ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
- ท่าอากาศยานภูเก็ต
- ท่าอากาศยานหาดใหญ่
- ท่าอากาศยานเชียงใหม่
- ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย)
- ท่าเรือแหลมฉบัง
- ท่าเรือศรีราชา
- ท่าเรือมาบตาพุด
- ท่าเรือภูเก็ต
- ท่าเรือสงขลา
❌ ใครบ้างที่ไม่ควรฉีด?
เนื่องจากวัคซีนไข้เหลืองเป็นวัคซีนเชื้อเป็น จึงห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะต่อไปนี้:
- เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน
- ผู้สูงอายุ > 60 ปี เนื่องจากมีความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงทางระบบประสาท
- หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ที่มี CD4 < 500/mm3, ผู้ป่วยมะเร็ง, ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ที่ใช้ยากดภูมิ, ผู้ที่มีความผิดปกติของต่อมไทมัส
- ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบในวัคซีน เช่น ไข่, แลคโตส, ซอร์บิทอล, เจลาติน
⚠️ ผลข้างเคียงที่อาจพบ
วัคซีนไข้เหลืองถือว่ามีความปลอดภัยสูง โดยทั่วไปอาการข้างเคียงที่พบจะไม่รุนแรง เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ (มักเกิดวันที่ 3–5 หลังฉีด) โดยประมาณ 1% เท่านั้นที่อาการมากจนกระทบชีวิตประจำวัน
อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงและพบได้น้อยมาก ได้แก่:
- YEL-AND (Yellow fever vaccine associated neurological disease): อาการทางระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ หรือ Guillain-Barré syndrome พบ 0.8 รายต่อวัคซีน 100,000 โดส ส่วนใหญ่เกิดในทารกและผู้สูงอายุ
- YEL-AVD (Yellow fever vaccine associated viscerotropic disease): ภาวะวัคซีนแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้หลายอวัยวะล้มเหลว มีอัตราการเสียชีวิตถึง 50% แต่พบเพียง 0.8 รายต่อ 100,000 โดส มักเกิดในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- Anaphylaxis: การแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง พบประมาณ 1.8 รายต่อ 100,000 โดส มักเกิดจากการแพ้ไข่ในวัคซีน ซึ่งมี ovalbumin สูง ผู้ที่แพ้ไข่ควรทำ skin test และถ้าผลเป็นบวก ต้องทำ desensitization โดยแพทย์
📌 สรุป
วัคซีนไข้เหลืองเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่มีประสิทธิภาพสูง ฉีดเพียงเข็มเดียวใต้ผิวหนังก็สามารถป้องกันโรคได้ตลอดชีวิต เป็นวัคซีนเพียงชนิดเดียวที่ "จำเป็น" ต้องฉีดก่อนเดินทางเข้าประเทศที่อยู่ในเขตระบาดตามข้อกำหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ควรประเมินข้อห้ามในการฉีดอย่างรอบคอบก่อนรับวัคซีน
บรรณานุกรม
- วัชรพงศ์ ปิยะภาณี. "วัคซีนไข้เหลือง." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง
ร.พ.เวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล (6 กรกฏาคม 2568).
- "วัคซีนป้องกันโรคไข้เหลืองกับการแพ้ไข่ (Yellow fever vaccine and egg allergy)
." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (26 พฤษภาคม 2564).
- "โรคไข้เหลือง (Yellow fever)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณสุข. (26 พฤษภาคม 2564).
- "Yellow fever vaccine." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (26 พฤษภาคม 2564).
- J. Gordon Frierson. 2010. "The Yellow Fever Vaccine: A History." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Yale J Biol Med. 2010; 83(2):77–85. (26 พฤษภาคม 2564).
- "Yellow Fever." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Rockefeller Foundation. (26 พฤษภาคม 2564).