โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)

Osteoporosis มาจากคำภาษากรีก "porosity of bone" แปลว่า "ภาวะที่กระดูกเปราะและหักง่าย" ถูกตั้งชื่อครั้งแรกในปี ค.ศ. 1835 โดยนายแพทย์ Lobstein ชาวฝรั่งเศส หลังจากพบความแตกต่างระหว่างกระดูกปกติกับกระดูกที่หักง่าย ต่อมาในศตวรรษที่ 19 นายแพทย์ Riggs และ Melton ได้อธิบายพยาธิกำเนิดว่าเกิดจาก 2 ปัจจัยหลักซึ่งเป็นความเสื่อมตามวัย ได้แก่

  1. การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยหมดระดู เนื่องจากฮอร์โมนเพศมีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษามวลกระดูก
  2. การลดระดับวิตามินดี [25(OH)D] และการดูดซึมแคลเซียมที่ลดลงในผู้สูงอายุ ทำให้ต้องสลายแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ชดเชย

ดังนั้นโรคกระดูกพรุนจึงพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันพบปัจจัยร่วมอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะหลังมีการใช้เครื่องวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกอย่างแพร่หลาย

สาเหตุร่วมของโรคกระดูกพรุน

  1. ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการสร้างมวลกระดูก
  2. กรรมพันธุ์ หากครอบครัวมีประวัติโรคกระดูกพรุน ลูกหลานมีโอกาสป่วยได้สูงถึง 80%
  3. ผลจากการรักษาโรค เช่น การใช้ยาสเตียรอยด์ การฉายรังสี เคมีบำบัด หรือการผ่าตัดรังไข่ออกก่อนวัยหมดระดู
  4. พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา กาแฟ หรือเครื่องดื่มคาเฟอีนมาก ขาดการออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมกันแดดหรือยาลดกรดเป็นประจำ
  5. โรคของระบบต่อมไร้ท่อ เช่น คอพอกเป็นพิษ พาราไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน คุชชิ่ง
  6. โรคเรื้อรังที่ทำให้เคลื่อนไหวน้อยหรือรับอาหารได้น้อย


อาการของโรค

โรคกระดูกพรุนดำเนินไปอย่างช้า ๆ อาการที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ได้แก่

ภาวะกระดูกพรุนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อการหักของกระดูก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น เช่น บ้านมีพื้นต่างระดับ ขาดแผ่นกันลื่นในห้องน้ำ สายตาพร่ามัว รองเท้าไม่เหมาะสม หรือใช้ยาที่ทำให้ง่วงซึม เป็นต้น

แนวทางการวินิจฉัย

แพทย์จะวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD) ด้วยเครื่อง Dual energy X-ray Absorptiometry (Axial DXA) และนําค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของ BMD สูงสุดในคนหนุ่มสาว

1. กลุ่มหญิงวัยหมดระดูและชายอายุ > 50 ปี ใช้ T-score

  • T-score ≥ -1 = ปกติ
  • -1 ถึง -2.5 = กระดูกบาง
  • ≤ -2.5 = กระดูกพรุน เสี่ยงต่อกระดูกหัก

2. กลุ่มเด็ก, หญิงก่อนวัยหมดระดู และชายอายุ < 50 ปี ใช้ Z-score

  • Z-score > -2.0 = ปกติ
  • Z-score ≤ -2.0 = มวลกระดูกต่ำเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน

ในกลุ่มนี้จะไม่ใช้เกณฑ์วินิจฉัยโรคกระดูกพรุนโดยตรง



แนวทางการรักษา

โรคกระดูกพรุนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษามุ่งลดความเสี่ยงการหักของกระดูก มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยได้ให้แนวทางดังนี้

  • เริ่มยาหากพบกระดูกหักจากอุบัติเหตุไม่รุนแรง หรือมีค่า T-score ≤ -2.5
  • หรือมีภาวะกระดูกบาง ร่วมกับปัจจัยเสี่ยง เช่น เคยมีกระดูกหัก ได้รับยาสเตียรอยด์ มีโรคที่ทำให้เกิดกระดูกพรุน หรือมีปัจจัยเสี่ยง ≥ 2 ข้อ เช่น อายุ ≥ 65 ปี (หญิง) หรือ ≥ 70 ปี (ชาย), BMI < 19, ประวัติครอบครัว, หมดระดูก่อนวัย, สูบบุหรี่จัด, ดื่มสุราเป็นประจำ

ยาที่ใช้รักษา

  1. Bisphosphonates เช่น Alendronate, Risedronate, Ibandronate, Zoledronate เป็นยาหลัก แต่มีผลข้างเคียง เช่น ระคายเคืองทางเดินอาหาร ไตเสื่อม กระดูกขากรรไกรตาย และกระดูกต้นขาหักแบบผิดปกติ
  2. เพื่อลดผลข้างเคียงของยาจึงควรพิจารณาหยุดยาหลังกินไป 5 ปี หรือฉีดไป 3 ปี เรียกว่า drug holiday เนื่องจากยากลุ่มนี้จะจับอยู่ในกระดูกเป็นเวลานาน เมื่อหยุดยาจึงยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันกระดูกหักได้อยู่ ส่วนจะหยุดนานเท่าไหร่ขึ้นกับการติดตาม BMD และ bone turnover marker ให้เริ่มยาใหม่หาก BMD ลดลง หรือ bone turnover marker เพิ่มขึ้น หรือเกิดกระดูกหัก

  3. Denosumab ยาฉีดที่ยับยั้งการทำงานของ osteoclast ที่สลายกระดูก ใช้ได้ในผู้ป่วยโรคไต และไม่สะสมในกระดูกเหมือนยากลุ่ม Bisphosphonates จึงฉีดต่อเนื่องได้
  4. Calcitonin พ่นจมูก ช่วยลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังยุบ และลดกระดูกสันหลังหัก แต่ไม่ลด hip fracture
  5. ฮอร์โมนเอสโตรเจน ลดการสลายกระดูก แต่เพิ่มความเสี่ยงเส้นเลือดอุดตันและมะเร็งเต้านม จึงแนะนำให้ใช้ในวัยทองเท่านั้น และควรใช้ขนาดน้อยที่สุดในระยะเวลาสั้นที่สุด ไม่แนะนำให้ใช้เป็นยาตัวแรกในการรักษาโรคกระดูกพรุน
  6. Raloxifene เป็น Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMS) คือเมื่อจับกับ estrogen receptor ที่กระดูกจะเสริมฤทธิ์เอสโตรเจน แต่เมื่อจับกับ estrogen receptor ที่เต้านมจะต้านฤทธิ์ จึงลดการสลายกระดูกโดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่ยังมีผลข้างเคียงเรื่องการเกิดเส้นเลือดดำอุดตันเช่นเดียวกัน และมีผลลดกระดูกสันหลังหัก แต่ไม่ช่วยลดการหักของกระดูกส่วนอื่น
  7. ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ เช่น Teriparatide ฉีดใต้ผิวหนังวันละครั้ง ลดกระดูกหักได้ แต่มีข้อจำกัดเรื่องราคา ผลข้างเคียงที่อาจทำให้แคลเซียมในเลือดสูงขี้น และความเสี่ยงมะเร็งกระดูก (osteogenic sarcoma) ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้นานเกิน 2 ปี
  8. Strontium ranelate ลดกระดูกหักได้หลายตำแหน่ง แต่มีความเสี่ยงต่อหลอดเลือดอุดตัน ยาเป็นผง ละลายน้ำ ดื่มขณะท้องว่าง ผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้ ท้องเสีย
  9. แคลเซียมและวิตามินดี เสริมเพื่อเพิ่มการดูดซึมและความแข็งแรงของกระดูก แต่ขนาดสูงเกินไปอาจเกิดนิ่วที่ไต

การติดตามผล

  • วัดความสูงปีละครั้ง หากเตี้ยลง > 2 ซม. ควรเอ็กซเรย์
  • ตรวจ DXA ทุก 2 ปี
  • พิจารณาเปลี่ยนการรักษาหากยังมีกระดูกหักหรือค่า BMD ลดลงต่อเนื่อง


วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน

  1. ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนักและมีแรงต้าน เช่น วิ่งเหยาะ เดินสลับวิ่ง เดินขึ้นบันได กระโดดเชือก หรือเต้นแอโรบิก สำหรับผู้สูงอายุควรเลือกการออกกำลังกายที่เบาและช้าลง เช่น รำมวยจีน รำจี้กง หรือรำไท้เก๊ก โดยควรออกกำลังกายครั้งละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป
  2. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาตัวเล็ก กุ้งแห้ง กะปิ เต้าหู้ ใบชะพลู ใบยอ ใบมะกรูด ผักคะน้า ผักกระเฉด มะเขือพวง และงาดำ โดยควรได้รับแคลเซียมวันละ 800–1,200 มิลลิกรัม ตามคำแนะนำของกรมอนามัย
  3. รับแสงแดดอย่างเพียงพอ เพื่อให้ผิวหนังสร้างวิตามินดี ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้ มีรายงานว่าการรับแสงแดดเพียง 30 นาที ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้ถึง 200 ยูนิต โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ 8.00–10.00 น. และ 15.00–17.00 น.
  4. งดการดื่มสุราและการสูบบุหรี่ เนื่องจากทั้งสองปัจจัยนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
  5. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อความหนาแน่นของมวลกระดูก เช่น ยาสเตียรอยด์ หากจำเป็นต้องใช้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  6. ปรับสภาพแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยงการหกล้ม เช่น เก็บสายไฟไม่ให้เกะกะ เช็ดพื้นที่เปียกน้ำทันที ติดแผ่นยางกันลื่นในห้องน้ำ จัดแสงสว่างตามทางเดินให้เพียงพอ และเปลี่ยนแว่นสายตาหากการมองเห็นไม่ชัด

พยากรณ์โรค

โรคกระดูกพรุนแม้ไม่หายขาด แต่หากได้รับการรักษาและปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารสมดุล เสริมแคลเซียมและวิตามินดี จะช่วยลดความเสี่ยงกระดูกหักได้มาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่หากไม่ได้รับการดูแล อาจเกิดกระดูกหักซ้ำ ๆ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในผู้สูงอายุ

สรุป

โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่พบมากในผู้สูงอายุ เกิดจากการเสื่อมตามวัยและปัจจัยร่วม เช่น ฮอร์โมนลดลง ขาดแคลเซียม ขาดการออกกำลังกาย หรือโรคประจำตัว อาการมักเป็นแบบค่อย ๆ สะสม เช่น หลังค่อม ปวดหลัง และกระดูกหักง่าย การวินิจฉัยทำโดยวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก การรักษามีหลายวิธี ทั้งการใช้ยาและการปรับพฤติกรรม จุดมุ่งหมายสำคัญคือป้องกันการหักของกระดูกและคงคุณภาพชีวิตที่ดี

บรรณานุกรม

  1. Lorentzon M., Cummings S.R. 2015. "Osteoporosis: the evolution of a diagnosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา JIM 2015;277(6):650-661. (26 กันยายน 2568).
  2. "Osteoporosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clinic. (26 กันยายน 2568).
  3. รศ.ดร.ภญ.บุษบา จินดาวิจักษณ์. 2014. "แคลเซียมกบโรคกระดูกพรุน ตอนที่ 2." [ระบบ ออนไลน์]. แหล่งที่มา คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล. (26 กันยายน 2568).