- กลุ่มยาผสมของลีโวโดปา (Levodopa)
ยาลีโวโดปาเป็นต้นกำเนิดของสารโดปามีน โดยเอนไซม์ DOPA decarboxylase ในร่างกายจะย่อยลีโวโดปาเป็นสารโดปามีนอย่างรวดเร็ว เอนไซม์นี้อยู่ทั้งในเลือดและในสมอง การใช้ยา ยาลีโวโดปาเดี่ยว ๆ ไม่ได้ผลในพาร์กินสัน เพราะยาจะถูกย่อยในเลือดจนหมดไปก่อนที่จะเข้าสมอง
ยาคาร์บิโดปา (Carbidopa) ยับยั้งเอนไซม์ DOPA decarboxylase ในเลือด (ตัวมันผ่านเข้าสมองไม่ได้) จึงทำให้ลีโวโดปาไม่ถูกย่อยในเลือด มีเหลือเข้าสมองไปถูกเปลี่ยนเป็นสารโดปามีที่นั่น และออกฤทธิ์จับตัวรับโดปามีนในสมอง จึงสามารถลดอาการของพาร์กินสันได้ ตัวอย่างยาผสมระหว่างลีโวโดปากับคาร์บิโดปา (Levodopa/Carbidopa) เช่น Sinemet®, Sinemet CR®, Levomemt®, Syndopa®, Parcopa®
ยาเอ็นทาคาโปน (Entacapone) ยับยั้งเอนไซม์ Catechol-O-methyltransferase (COMT) ซึ่งเปลี่ยนลีโวโดปาเป็นเมธิลโดปา ทำให้ลีโวโดปาไม่ถูกเปลี่ยนเป็นสารตัวอื่นแทนโดปามีน การผสมยาเอ็นทาคาร์โปนลงในยากลุ่มนี้จึงช่วยให้ลีโวโดปาออกฤทธิ์ดีขึ้น แต่ก็ทำให้ยามีราคาแพงขึ้น จึงมักใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการมากแล้ว ตัวอย่างยาผสมระหว่างลีโวโดปา, คาร์บิโดปา, และเอ็นทาคาร์โปน (Levodopa/Carbidopa/Entacapone) ได้แก่ Stalevo® ส่วนยาเดี่ยวเอ็นทาคาร์โปนก็มีจำหน่ายในชื่อการค้า Comtan®
ยาผสมของลีโวโดปาทั้ง 2 หรือ 3 ตัว มีหลายสัดส่วน แล้วแต่การตอบสนองของแต่ละคน ยาออกฤทธิ์สั้นมาก จึงควรรับประทานวันละ 4 ครั้ง ยกเว้นพวกที่เป็น intermediate release (IR) ควรรับประทานวันละ 3 ครั้ง และพวกที่เป็น extended release (ER) หรือ sustained release (CR) ควรรับประทานวันละ 2 ครั้ง อาหารช่วยเพิ่มการดูดซึมของยา จึงควรรับประทานหลังอาหาร ขนาดสูงสุดของยาลีโวโดปาไม่ควรเกิน 2000 mg/วัน ขนาดสูงสุดของยาคาร์บิโดปาไม่ควรเกิน 200 mg/วัน ขนาดสูงสุดของยาเอ็นทาคาร์โปนไม่ควรเกิน 1600 mg/วัน
ยากลุ่มนี้หากใช้ในขนาดสูงเกินไปจะมีปัญหาเรื่องอาเจียน วิงเวียน ปวดหัว สับสน ประสาทหลอน และการเคลื่อนไหวผิดปกติได้
- กลุ่มยาต้าน MAO-B (Monoamine oxidase B inhibitors)
เอนไซม์โมโนเอมีนออกซิเดส คอยทำลายสารสื่อประสาทกลุ่มโมโนเอมีน (เช่น dopamine, serotonin, epinephrine) ให้กลายเป็นคีโตนและแอมโมเนีย สารสื่อประสาทเหล่านี้หากมีมากเกินไปจะทำให้จิตหลอน หากมีน้อยเกินไปจะทำให้ซึมเศร้าหรือไร้อารมณ์ กลุ่มยาต้านเอนไซม์นี้จึงช่วยให้ระดับของสารสื่อประสาทในสมองสูงขึ้น กลุ่มยาต้าน MAO-A ใช้รักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า, โรคหวาดกลัว, และโรคไบโพลาร์ กลุ่มยาต้าน MAO-B เป็นยาเสริมเพิ่มอารมณ์สำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
ตัวอย่างยาต้าน MAO-B ได้แก่ Selegiline และ Rasagiline ขนาดของยา Selegiline คือ 5-10 mg/วัน ขนาดของยา Rasagiline คือ 0.5-1 mg/วัน ให้รับประทานวันละครั้งตอนเช้า ผลข้างเคียงของยาคือคลื่นไส้ วิงเวียน และปวดศีรษะ
- กลุ่มยากระตุ้นตัวรับโดปามีน (Dopamine agonist)
ยากลุ่มนี้ เช่น Pramipexole, Ropinirole มีโครงสร้างที่สามารถจับตัวรับโดปามีนได้ จึงออกฤทธิ์สั่งการสมองคล้ายสารโดปามีน ใช้รักษาโรคพาร์กินสันในระยะแรกได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เริ่มเป็นตั้งแต่อายุยังน้อย และสามารถใช้เป็นยาเดี่ยวได้ด้วย แต่เมื่อโรคเป็นมากขึ้นมักต้องใช้ร่วมกับกลุ่มยาผสมของลีโวโดปา ยากลุ่มนี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยพาร์กินสันระยะท้าย ๆ เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยาเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเรื่องประสาทหลอน อาเจียน ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่า และหลับมาก
ขนาดของยา Pramipexole เริ่มที่ 0.125 mg รับประทานวันละ 3 ครั้ง (หรือ 0.375 mg วันละครั้งถ้าเป็นแบบ extended release) ปรับยาเพิ่มขึ้นช้า ๆ ทุก 1 สัปดาห์ จนอาการดีขึ้น หยุดเพิ่มเมื่อเริ่มอาเจียนหรือวุ่นวาย ขนาดสูงสุดไม่เกิน 4.5 mg/วัน ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยไตวายระยะที่ 3-5
ขนาดของยา Ropinirole เริ่มที่ 0.25 mg รับประทานวันละ 3 ครั้ง (หรือ 2 mg วันละครั้งถ้าเป็นแบบ extended release) ปรับยาเพิ่มขึ้นช้า ๆ ทุก 1 สัปดาห์ จนอาการดีขึ้น หยุดเพิ่มเมื่อเริ่มอาเจียนหรือวุ่นวาย ขนาดสูงสุดไม่เกิน 24 mg/วัน
- กลุ่มยาต้านโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic)
ขณะที่กลุ่มยาเพิ่มสารโดปามีน 3 กลุ่มข้างต้นช่วยลดอาการเกร็ง เคลื่อนไหวช้า/น้อย และสภาพไร้อารมณ์ กลุ่มยาต้านโคลิเนอร์จิกจะช่วยลดอาการสั่นของผู้ป่วยพาร์กินสัน โดยยายับยั้งสารสื่อประสาท Acetylcholine ซึ่งควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อ Acetylcholine ลดลง อาการสั่นจึงลดลง ยากลุ่มนี้ได้แก่ Cogentin® (benzotropine mesylate) และ Artane® (trihexyphenidyl)
ขนาดของยา Cogentin® เริ่มที่ 0.5 mg/วัน แล้วเพิ่มทีละ 0.5 mg ทุก 5 วัน สูงสุดไม่เกิน 6 mg/วัน ขนาดของยา Artane® เริ่มที่ 1 mg/วัน แล้วเพิ่มทีละ 2 mg ทุก 5 วัน สูงสุดไม่เกิน 15 mg/วัน ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์สั้น จึงควรแบ่งให้วันละ 3-4 ครั้ง
ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คือ ตามัว ปากแห้ง ท้องผูก และปัสสาวะไม่ออก ในผู้สูงอายุอาจเกิดอาการประสาทหลอน สับสน หลงลืม
- ยาอแมนตาดีน (Amantadine)
ยาอแมนตาดีนเป็นยาต้านไวรัสที่ได้ผลในโรคพาร์กินสันด้วยกลไกที่ยังไม่ทราบชัด ฟากหนึ่งเชื่อว่ามันกระตุ้นการหลั่งสารโดปามีนและนอร์อีพิเนฟรินจากแหล่งกักเก็บในสมอง อีกฟากหนึ่งเชื่อว่าอแมนตาดีนยับยั้งตัวรับ N-methyl-D-aspartate (NMDA receptor) จึงทำให้เซลล์ประสาทไม่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ขนาดที่ใช้เริ่มที่ 100 mg วันละครั้ง จากนั้นเพิ่มทีละ 100 mg ทุก 1 สัปดาห์ สูงสุดไม่เกิน 400 mg โดยแบ่งให้วันละ 2-3 ครั้ง ผู้ที่ไตเสื่อมให้ลดเหลือ 200 mg/วัน
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ วิงเวียน นอนไม่หลับ สับสน ประสาทหลอน หงุดหงิด เดินเซ ขาบวม และความดันโลหิตต่ำเวลาเปลี่ยนท่า โดยมากแพทย์จะเลือกใช้เสริมเป็นตัวสุดท้าย
หากใช้ยาอแมนตาดีนนานเกิน 4 สัปดาห์แล้วต้องการจะหยุดยา ห้ามหยุดยาทันที เพราะอาจเกิดอาการคลุ้มคลั่งหรือพยายามฆ่าตัวตายได้ ต้องค่อย ๆ ลดขนาดลงครึ่งหนึ่งทุกสัปดาห์ จนเหลือน้อยที่สุดค่อยหยุดยา