ปวดท้องเฉียบพลัน (Acute abdominal pain)
อาการปวดท้องเฉียบพลัน (Acute abdominal pain) หมายถึง อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นใหม่และมีระยะเวลาน้อยกว่า 3 สัปดาห์ โดยในทางการแพทย์ อาการในกลุ่มนี้แบ่งได้เป็น 3 ภาวะหลัก ได้แก่ “อาการปวดท้องเฉียบพลันทั่วไป” (Acute abdominal pain), “ภาวะปวดท้องเฉียบพลัน” (Acute abdomen) และ “การบาดเจ็บในช่องท้อง” (Abdominal trauma หรือ Abdominal injury)
ภาวะปวดท้องเฉียบพลัน (Acute abdomen) หมายถึง อาการปวดท้องรุนแรงที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่มีสาเหตุชัดเจนมาก่อน และแพทย์สามารถตรวจพบอาการแสดงที่นำไปสู่การวินิจฉัยได้ภายใน 5 วันหลังเริ่มปวด
ส่วนการบาดเจ็บในช่องท้อง (Abdominal trauma) หมายถึง ความเสียหายของอวัยวะภายในช่องท้องจากอุบัติเหตุ การกระแทก การแทง การยิง หรือการทำร้ายตนเอง
* หากอาการปวดท้องเฉียบพลันมีความรุนแรงไม่มาก ทราบสาเหตุแน่ชัด หรือไม่พบพยาธิสภาพภายใน 5 วันหลังเริ่มปวด จะไม่จัดอยู่ในกลุ่มภาวะปวดท้องเฉียบพลัน
สาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดท้องเฉียบพลันทั่วไป ได้แก่ อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ท้องผูก ปวดประจำเดือน โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคกรวยไตอักเสบ โรคตับอักเสบ โรคปอดบวม โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
ส่วนสาเหตุที่พบบ่อยของภาวะปวดท้องเฉียบพลันซึ่งต้องรักษาอย่างเร่งด่วน ได้แก่ ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ แผลในกระเพาะทะลุ ถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ ตั้งครรภ์นอกมดลูก รังไข่บิดเกลียว เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ ลำไส้ขาดเลือด ลำไส้บิดตัว ม้ามแตก นิ่วอุดท่อไต หรือหลอดเลือดเอออร์ตาโป่งพองและฉีกขาด
การบาดเจ็บในช่องท้องมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงแตกต่างจากภาวะปวดท้องเฉียบพลัน เช่น ความสกปรกของวัตถุที่รุกล้ำเข้ามาในช่องท้อง การบาดเจ็บที่มักเกิดมากกว่าหนึ่งอวัยวะ การตกเลือดอย่างมากภายในช่องท้อง และการคั่งค้างของวัตถุแปลกปลอมในช่องท้อง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะปวดท้องเฉียบพลันเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรมที่ต้องการการรักษาอย่างรีบด่วน ดังนั้นจึงต้องมีการประเมินภาวะนี้ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องเฉียบพลันทุกรายที่ไม่ได้มีประวัติการบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ และมาพบแพทย์ภายใน 5 วันหลังเริ่มมีอาการ
แนวทางการประเมินภาวะปวดท้องเฉียบพลัน
อาการเริ่มต้นบางอย่างช่วยแยกภาวะปวดท้องเฉียบพลันออกจากอาการปวดท้องทั่วไป ได้แก่
- อาการปวดที่เกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีมูลเหตุและไม่สัมพันธ์กับอะไร (เช่น อาหาร ท้องผูก ท้องเสีย โรคที่ทำให้ปวดท้องประจำ การเจ็บป่วยอย่างอื่น อุบัติเหตุ ฯลฯ)
- อาการปวดที่ค่อนข้างรุนแรงและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วในเวลาเป็นชั่วโมง
- เมื่อกดท้องตรงที่ปวดจะรู้สึกเจ็บมาก
- มีไข้ ใจสั่น เหงื่อออก ก้าวเดินได้ไม่เหมือนปกติ
สาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดท้องเฉียบพลัน
- โรคกระเพาะ (กระเพาะเป็นแผล, กระเพาะอักเสบจากอาหารที่ระคาย) – ปวดแบบแสบร้อนที่ท้องส่วนบน มักเป็นขณะท้องว่างหรือหลังอาหาร โดยเฉพาะอาหารรสจัดหรือมัน
- ภาวะอาหารเป็นพิษ – ท้องดัง ปวดแบบมวนท้องและบิดเป็นพัก ๆ เวลาบิดถ้ากดท้องจะดีขึ้น มีคลื่นไส้ ท้องเสีย พอถ่ายออกหลายครั้งอาการปวดจะลดลง แต่จะอ่อนเพลียตามมาแทน
- ไส้ติ่งอักเสบ – เริ่มแรกจะปวดมวนบริเวณรอบสะดือ สักพักอาการปวดจะย้ายไปที่ท้องด้านขวาล่าง ปวดอยู่ตลอดเวลา กดดูจะเจ็บ เมื่อผ่านไป 1-2 วันอาการปวดจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะท้องบริเวณนั้นไม่ได้ เดินตัวตรงเหมือนปกติไม่ได้ เมื่อเข้าวันที่ 3-4 ไส้ติ่งจะเริ่มแตก อาการปวดจะลามไปทั่วท้อง หายใจก็ปวด ไข้ขึ้นสูง ผู้ป่วยจะทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนอยู่นิ่ง ๆ กล้ามเนื้อท้องจะแข็งเกร็งตลอดเวลา ช่วงนี้อันตรายมาก ไม่ควรรอไม่ปวดถึงระยะนี้
- ถุงน้ำดีอักเสบ – ผู้ป่วยมักเป็นหญิงเจ้าเนื้อวัย 30-50 ปี อาการปวดมักเริ่มหลังทานอาหารมื้อใหญ่ที่มีความมันมาก ตำแหน่งที่ปวดจะอยู่ที่ท้องด้านขวาบน ใต้ชายโครงหรือใต้ลิ้นปี่ กดดูจะเจ็บโดยเฉพาะเมื่อกดตอนหายใจเข้าลึก ๆ บางคนอาจปวดร้าวไปที่สะบักหลังด้านขวา โรคนี้พอหยุดรับอาหารไปสัก 8-12 ชั่วโมงอาการก็จะดีขึ้น บางคนจึงใช้วิธีนี้รักษาตัวเอง แต่ก็จะปวดท้องแบบนี้ขึ้นมาอีกเมื่อทานของมัน ๆ และบางครั้งถุงน้ำดีที่อักเสบอาจมีการติดเชื้อซ้ำ ทำให้มีไข้และปวดท้องรุนแรงมาก อาจมีตาเหลืองให้เห็นเพราะส่วนใหญ่มักมีนิ่วที่ถุงน้ำดีร่วมด้วย
- ถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ – มักเกิดในผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง ปวดท้องด้านซ้ายล่าง กดเจ็บ อาจคลำได้ก้อนที่เจ็บมาก มีไข้ กรณีนี้ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน
- ตับอ่อนอักเสบ – มักพบในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ปวดรุนแรงบริเวณท้องส่วนบนร้าวไปหลัง ปวดอยู่ตลอดเวลาและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อแตก ไข้ขึ้น รายที่เป็นมากจะช็อคอย่างรวดเร็ว
- แผลที่กระเพาะทะลุ – ส่วนใหญ่จะมีประวัติเป็นโรคกระเพาะมาก่อน เมื่อแผลลึกจนทะลุ ทั้งกรดและอาหารในกระเพาะจะออกมาปนเปื้อนในช่องท้อง เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดท้องอย่างปุบปับ เป็นตลอดเวลาและมากขึ้นเรื่อย ๆ ขยับก็ปวด หายใจก็ปวด จนทำอะไรไม่ได้ ไข้ขึ้น ท้องอืด ส่วนใหญ่จะทนได้ไม่กี่ชั่วโมง
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ – เป็นการอักเสบติดเชื้อของอวัยวะภายในสตรี เกิดหลังการมีเพศสัมพันธ์ 1-3 วัน ลักษณะเป็นการปวดท้องน้อย เดินตัวตรงไม่ได้ มีไข้ ตกขาวเป็นหนอง
- ถุงน้ำรังไข่บิดเกลียว – ปวดบิดที่ท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่งอย่างปุบปับ อาจคลำได้ถุงน้ำรังไข่นั้น ซึ่งเจ็บมาก
- ตั้งครรภ์นอกมดลูก – ในวัฒนธรรมของคนไทย ถ้าผู้ป่วยยังไม่ได้แต่งงาน โอกาสที่ผู้เกี่ยวข้องจะทราบประวัติมีเพศสัมพันธ์และขาดประจำเดือนแทบจะเป็นไปไม่ได้ จู่ ๆ จะมีอาการปวดท้องส่วนล่างอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ซีด หน้ามืด หมดสติ อ่อนลงอย่างรวดเร็ว ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
- ต่อมลูกหมากอักเสบ – ปวดแถวฝีเย็บหรือหลังถุงอัณฑะ มักไม่รุนแรงแต่เป็นเรื้อรัง ผู้ป่วยมักทนได้หลายวัน
- นิ่วที่ท่อไต – นิ่วที่ไตอาจหลุดลงมาในท่อไตจนอุดตันท่อไตส่วนล่าง อาการตอนที่นิ่วเคลื่อนลงมาจะปวดท้องซีกใดซีกหนึ่งอย่างรุนแรงโดยไม่ทันตั้งตัว ถ้านิ่วมีขนาดเล็กจะหลุดลงไปถึงกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยจะยังคงค้างอยู่ในท่อไต แต่อาการปวดมักเป็นครั้งเดียวตอนที่นิ่วหลุดลงมา พอมาถึงโรงพยาบาลอาการปวดก็มักหายไปแล้ว
- กรวยไตอักเสบ – เป็นการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนบน มักพบในผู้หญิง อาการจะมีไข้สูง อาเจียน ปวดเอวร้าวไปด้านหลัง ปัสสาวะขุ่น
- ลำไส้อุดตัน – มักเป็นในคนที่เคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน และส่วนใหญ่เป็นจากพังผืดภายในช่องท้องรัดลำไส้ ตอนแรกอาการจะเหมือนพวกอาหารเป็นพิษ คือปวดบิดเป็นพัก ๆ ท้องร้องตลอดเวลา คลื่นไส้อาเจียน กินอะไรไม่ได้ แต่เป็นวันก็ไม่ถ่ายออกมาสักที ท้องจะอืดและโตขึ้นเรื่อย ๆ และอาการปวดจะกลายเป็นปวดทั่วท้องตลอดเวลาและมีปวดบิดแทรกเป็นพัก ๆ
- ลำไส้ขาดเลือด – เกิดจากการอุดตันเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงลำไส้ มักพบในคนที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อน อาการปวดจะค่อย ๆ เกิด ระบุตำแหน่งไม่ได้ ท้องจะอืดโตขึ้นเรื่อย ๆ และจะปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กดท้องหรือไม่กดไม่ต่างกัน บางรายมีอาเจียนและถ่ายเป็นเลือดด้วย
จะเห็นว่าแต่ละโรคมีลักษณะการเกิดและการดำเนินไปค่อนข้างจำเพาะ ดังนั้นการเล่าประวัติของโรคตั้งแต่เริ่มต้น ลักษณะที่ปวด ตำแหน่ง ความรุนแรง การดำเนินไปของอาการ อาการร่วมและปัจจัยร่วมอื่น ๆ เพศ อายุ เคยได้รับการผ่าตัดอวัยวะใดมาก่อนหรือไม่ เหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้เร็วขึ้น
สิ่งสำคัญที่ควรทราบ
- โรคที่กดท้องแล้วเจ็บมักรุนแรงกว่าโรคที่กดท้องแล้วดีขึ้นหรือไม่ต่างกัน
- โรคที่ปวดท้องตลอดเวลามีความรุนแรงกว่าโรคที่มีอาการปวดเป็นพัก ๆ
- โรคที่มีอาการแสดงร่วมที่ท่านบังคับไม่ได้ เช่น ไข้ ท้องโต ตาเหลือง ฯลฯ มีความสำคัญกว่าโรคที่ยังไม่มีอาการแสดงอื่นให้เห็น
- หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ปวดท้องน้อย ควรให้ข้อมูลการมีประจำเดือน การมีเพศสัมพันธ์ก่อนหน้านั้น การตั้งครรภ์ และการแท้งบุตรให้แพทย์ทราบด้วย
- ชายอายุ 40 ปีขึ้นไปที่ปวดแน่นลิ้นปี่ ควรพิจารณาโรคหัวใจขาดเลือดร่วมด้วย หากพัก 15 นาทีแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปโรงพยาบาล
- อาการปวดท้องส่วนบนร่วมกับไข้ ไอ หรือเหนื่อยหอบ อาจเกิดจากโรคทรวงอก เช่น ปอดบวมหรือน้ำในช่องปอด ไม่ใช่โรคในช่องท้อง
- การเอกซเรย์ช่องท้องมีประโยชน์เฉพาะในรายที่สงสัยภาวะปวดท้องเฉียบพลัน ไม่จำเป็นในโรคทั่วไป เช่น อาหารเป็นพิษหรือไข้หวัดลงกระเพาะ
- หากตรวจร่างกายและตรวจพื้นฐานแล้วไม่พบความผิดปกติ แพทย์อาจพิจารณาไม่ให้นอนโรงพยาบาลได้
สรุป
อาการปวดท้องเฉียบพลันเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจบ่งบอกถึงโรคฉุกเฉินทางศัลยกรรมได้หลายชนิด การสังเกตลักษณะการปวด ตำแหน่ง ความรุนแรง และอาการร่วม จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที หากมีอาการปวดรุนแรง ปวดตลอดเวลา หรือมีไข้ร่วม ควรรีบพบแพทย์โดยไม่รอให้หายเอง เพราะบางภาวะ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ แผลทะลุ หรือตับอ่อนอักเสบ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้