ตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ (Bleeding during pregnancy)
อาการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ หมายถึง การมีเลือดออกจากช่องคลอดในสตรีที่กำลังมีครรภ์ ซึ่งปกติไม่ควรจะมีเลย หากมีถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปพบสูติแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
สาเหตุของการตกเลือดในช่วงครึ่งแรกและครึ่งหลังของการตั้งครรภ์จะแตกต่างกัน โดยในช่วงครึ่งแรกมักเป็นจากการฝังตัวของตัวอ่อน การแท้ง การตั้งครรภ์นอกมดลูก การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังมักเป็นจากภาวะรกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด และการมีพยาธิสภาพที่ปากมดลูกหรือที่ช่องคลอด ระยะเวลาที่แบ่งครึ่งอาจไม่ตรงกันตามแต่ละสถาบัน บางแห่งก็ตัดที่ 20 สัปดาห์ บางแห่งก็ตัดที่ 24 หรือ 28 สัปดาห์ นั่นเป็นเพราะอุบัติการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์มักเกิดในช่วงต้นและช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ ช่วงกลาง ๆ มีโอกาสเกิดน้อย แต่ถ้าเกิดก็ต้องหาตรวจสาเหตุของทั้งสองกลุ่ม
สาเหตุของการตกเลือดในช่วงครึ่งแรกของการตั้งครรภ์
การมีเลือดออกจากช่องคลอดในช่วงครึ่งแรกนี้มักพบในช่วงที่ยังตั้งครรภ์อ่อน ๆ ประมาณ 3 เดือนแรก สาเหตุอาจเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ก็ได้
สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
- เลือดออกจากการฝังตัวของตัวอ่อน (Implantation bleeding) จะเกิดประมาณ 3 สัปดาห์นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย และออกเพียงเล็กน้อย เพียง 1-2 วัน แล้วหยุดเอง อาจไม่ต้องถึงขั้นใส่ผ้าอนามัย
- การท้องลม (Anembryonic pregnancy) หรือ ไข่ฝ่อ (Blighted ovum) หมายถึง การที่ไข่ได้รับการผสมและฝังตัวในผนังมดลูกแล้ว เซลล์ก็สร้างถุงหุ้มตัวอ่อนแล้ว แต่ตัวอ่อนไม่พัฒนา เพราะมีโครโมโซมผิดปกติมากจนไม่สามารถแบ่งตัวต่อไปได้ เมื่อตรวจอัลตราซาวด์จะไม่พบตัวอ่อน พบแต่ถุงเปล่า คุณแม่อาจมีอาการเหมือนคนท้อง คือขาดประจำเดือน แพ้ท้อง ฮอร์โมน hCG ขึ้นสูง แต่สุดท้ายก็จะตกเลือดภายในไตรมาสแรก
- การแท้ง (Abortion หรือ Miscarriage) หมายถึง การสิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ หรือ ก่อนที่ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักตัวเกิน 500 กรัม ซึ่งอาจเกิดจากการมีโครโมโซมผิดปกติ การติดเชื้อ การขาดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ความผิดปกติของมดลูก ภาวะทุพโภชนาการ มารดาที่สูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมาก โรคระบบภูมิคุ้มกัน โรคระบบต่อมไร้ท่อ ฯลฯ
ลักษณะของการแท้งยังแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท แต่ที่ยังอาจตั้งครรภ์ต่อไปได้คือการแท้งคุกคาม (Threatened abortion) ซึ่งหมายถึงเพียงการมีเลือดออกจากมดลูกโดยที่ปากมดลูกยังปิดอยู่ ในช่วงอายุครรภ์น้อยกว่า 20 สัปดาห์ โดยยังไม่ทราบว่าตัวอ่อนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ (การใช้ศัพท์เรียกว่า "แท้ง" อาจดูเกินเลยไป) หากอัลตราซาวด์พบทารกยังมีการเต้นของหัวใจ และระดับฮอร์โมนในเลือด (เช่น hCG, Estrogen, Progesterone, hPL, Pregnancy specific beta glycoprotein, alpha fetoprotein) ยังสูงอยู่ก็แสดงว่าทารกยังมีชีวิตอยู่ และอาจตั้งครรภ์ต่อไปได้หากมารดาได้รับการพักผ่อนอย่างมากที่สุด
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy) เป็นภาวะที่ตัวอ่อนไปฝังตัวนอกโพรงมดลูก ที่พบบ่อยที่สุดคือฝังตัวในท่อนำไข่ (ตำแหน่ง A และ B ในรูป) เนื่องจากโครงสร้างของอวัยวะอื่นไม่สามารถรองรับขนาดของตัวอ่อนที่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจแตกได้ กรณีนี้มารดาจะมีอาการปวดท้องน้อยอย่างมาก มีเลือดออกจากช่องคลอด และความดันโลหิตต่ำ หลังขาดประจำเดือนไปไม่นาน
- การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก (Molar pregnancy หรือ Hydatidiform mole) เป็นการตั้งครรภ์ผิดปกติที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในคนเอเชีย ที่เรียกว่า "ครรภ์ไข่ปลาอุก" เพราะครรภ์มีลักษณะเป็นถุงน้ำขนาดเล็กอยู่รวมกันคล้ายไข่ปลา 90% ไม่มีตัวอ่อนอยู่ แต่เมื่อตรวจโครโมโซมพบเป็น 46XX เชื่อว่าเกิดจากการปฏิสนธิของไข่ที่ไม่มีนิวเคลียส (จึงไม่มีโครโมโซม) กับสเปิร์ม 1-2 ตัว อีก 10% มีตัวอ่อนอยู่ แต่มีโครโมโซมเป็น 69XXY เชื่อว่าเกิดจากการปฏิสนธิของไข่ปกติกับสเปิร์ม 2 ตัว
การปฏิสนธิที่ผิดปกตินี้ทำให้เกิดเป็นเนื้องอกของรกที่เจริญไปเป็นถุงน้ำเล็ก ๆ จำนวนมาก ตัวอ่อนถ้ามีอยู่ก็ไม่สามารถพัฒนาไปเป็นทารกที่สมบูรณ์ได้ ประมาณ 10-15% ของครรภ์ไข่ปลาอุกชนิดที่ไม่มีตัวอ่อนมีโอกาสลุกลามเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก (Invasive mole) หรือกลายเป็นมะเร็งของเนื้อรก (Choriocarcinoma)
หญิงที่ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกจะมีอาการเช่นเดียวกับหญิงที่ตั้งครรภ์ทั่วไป แต่จะคลื่นไส้อาเจียนมาก และเริ่มมีเลือดออกจากช่องคลอดทีละน้อยในช่วงไตรมาสแรก อาจมีส่วนของถุงน้ำคล้ายเม็ดสาคูออกมาด้วย ขนาดของมดลูกจะโตกว่าอายุครรภ์ ระดับของฮอร์โมน Beta hCG จะสูงกว่าครรภ์ทั่วไป ทำให้ไปกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์มากเกินไป ผู้ป่วยจึงมีอาการคล้ายภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก เหนื่อยง่าย) และมีอาการของครรภ์เป็นพิษ (ความดันโลหิตสูง) ตั้งแต่อายุครรภ์ยังไม่ถึง 20 สัปดาห์
สาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
- การอักเสบของช่องคลอด จากการบาดเจ็บหรือติดเชื้อ อาจทำให้มีเลือดออกได้เล็กน้อย
- การมีเนื้องอกที่ปากมดลูก ถ้าเป็นแค่ติ่งเนื้อ (Endocervical polyp) เลือดที่ออกจะมีปริมาณเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นมะเร็งปากมดลูก (Cervical carcinoma) เลือดที่ออกอาจมีปริมาณมากได้
สาเหตุของการตกเลือดในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
การตกเลือดในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์บางทีอาจเรียกว่า "การตกเลือดก่อนคลอด" (Antepartum hemorrhage) เป็นภาวะที่วิกฤติกว่าการตกเลือดในช่วงครึ่งแรก เพราะมีสองชีวิตที่จะต้องพิจารณา ในรายที่มีเลือดออกมากมักจำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ก่อนกำหนดเพื่อรักษาชีวิตของมารดาและทารก โดยทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการที่อวัยวะภายในยังไม่พร้อม ขณะที่ตัวมารดาเองก็เสี่ยงต่อหัตถการทำคลอดฉุกเฉินในภาวะที่กำลังเสียเลือดและปากมดลูกยังไม่เปิด
ภาวะตกเลือดก่อนคลอดที่สำคัญ ได้แก่
- ไม่ทราบสาเหตุ พบว่าส่วนใหญ่ของการตกเลือดก่อนคลอดประมาณร้อยละ 40 นั้น ไม่ทราบสาเหตุแม้จะทำการตรวจทุกอย่างแล้ว ในกลุ่มนี้มักมีเลือดออกไม่มาก สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการที่รกลอกตัวก่อนกำหนด แต่แล้วก็หยุดเอง ส่วนใหญ่ยังสามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ แต่ควรจะได้รับการพักฟื้นและเฝ้าสังเกตอาการในโรงพยาบาลจนกระทั่งคลอดหรือแน่ใจว่าไม่มีการตกเลือดซ้ำอีก เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะคลอดก่อนกำหนด
- รกลอกตัวก่อนกำหนด (Abruptio placentae) ภาวะนี้พบได้ประมาณ 1 ต่อ 200 ของการคลอดทั้งหมด หรือประมาณ 30% ของภาวะตกเลือดก่อนคลอด เป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรมที่ร้ายแรงมาก ไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดกับใคร เมื่อไหร่ และยังไม่มีทางป้องกันเพราะจนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่รกลอกตัวก่อนคลอด เพียงแต่พบปัจจัยเสี่ยงเมื่อทำการศึกษาย้อนหลัง ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่
- มารดาได้รับอุบัติเหตุ หรือกระทบกระเทือนบริเวณท้องขณะตั้งครรภ์
- มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
- มารดาอายุมากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 20 ปี
- เคยมีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดในครรภ์ก่อน
- มารดา สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสพโคเคน
- การตั้งครรภ์แฝด
- ถุงน้ำคร่ำแตก (ทำให้มีน้ำเดิน) ก่อนคลอดนานเกิน 24 ชั่วโมง
- สายสะดือสั้น
- มีเนื้องอกของผนังมดลูกที่หลังรก
- มีเลือดออกของผนังมดลูกที่หลังรก (อาจเป็นจากการเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อตรวจหาโครโมโซม)
- การติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ
- การมีระดับของ alpha-fetoprotein ในเลือดสูงขึ้นในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์
อาการที่ทำให้นึกถึงภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด คือ การมีเลือดออกทางช่องคลอดหลังตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ไปแล้ว ร่วมกับมีอาการเจ็บครรภ์ (ถ้าไม่มีอาการเจ็บครรภ์ให้นึกถึงภาวะรกเกาะต่ำก่อน) บางรายอาจมีจุดเลือดออกตามแขนขา เนื่องจากระบบการแข็งตัวของเลือดเสียไป
อัลตราซาวด์จะช่วยวินิจฉัยภาวะนี้ได้ดี โดยจะเห็นรกอยู่ในตำแหน่งปกติ คือ ด้านบนของมดลูก แต่รกหนาตัวมากกว่า 5.5 ซม. และมีเลือดออกด้านหลังของรกตรงที่ติดกับผนังมดลูก
- รกเกาะต่ำ (Placenta previa) พบได้ประมาณ 20%
ปกติรกจะเกาะที่ยอดมดลูก ในรายรกเกาะต่ำลงมาที่ปากมดลูกจะขวางทางออกของเด็ก และอาจเกิดรอยเผยอระหว่างตัวรกกับปากมดลูก ทำให้คุณแม่มีเลือดออก (โดยไม่เจ็บท้อง) แต่ก็มีแม่บางคนที่รกเกาะต่ำโดยไม่เกิดปัญหาอะไรเลย กรณีนี้แพทย์จะรอจนอายุครรภ์ครบแล้วจึงนัดมาผ่าตัดคลอด ส่วนในรายที่ยังไม่ทันครบกำหนดแต่มีเลือดออกมากก็อาจจำเป็นต้องผ่าตัดคลอดก่อนกำหนดเพื่อรักษาชีวิตแม่เอาไว้
- หลอดเลือดที่เยื่อหุ้มรกฉีกขาด (Rupture vasa previa) พบเพียง 1 ต่อ 4,000 ของการคลอดทั้งหมด เป็นภาวะที่มีแขนงเส้นเลือดอยู่ระหว่างรกกับสายสะดือ และทอดอยู่บนถุงน้ำคร่ำผ่านปากมดลูก มักพบในกรณีการเกาะของสายสะดือผิดปกติที่ตรงด้านข้างของรก (velamentous insertion) เส้นเลือดเหล่านี้อาจฉีกขาดเมื่อมีการแตกของถุงน้ำคร่ำ คุณแม่จึงมีน้ำเดินพร้อม ๆ กับมีเลือดออก เส้นเลือดเหล่านี้นำเลือดจากรกไปสู่สายสะดือของทารก เมื่อฉีกขาดจะทำให้ทารกขาดเลือดอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว (โดยที่คุณแม่ยังไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด) บางรายแพทย์อาจวินิจฉัยได้ก่อนที่จะเกิดอาการ โดยเมื่อทำอัลตราซาวด์จะพบเส้นเลือดทอดอยู่ต่ำกว่าส่วนนำ และเมื่อตรวจภายในจะเห็นหรือคลำพบเส้นเลือดที่เต้นเข้าจังหวะกับเสียงหัวใจของทารก กรณีนี้ควรที่จะผ่าตัดคลอด
- มดลูกแตก (Uterine rupture) เป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุที่รุนแรง หรือเคยมีแผลที่ตัวมดลูกมาก่อน เช่น การผ่าตัดคลอด การผ่าตัดก้อนเนื้องอกมดลูก การขูดมดลูก เป็นต้น บางรายเกิดในขณะคลอดถ้าใช้ยากระตุ้นมดลูกบีบตัวมากเกินไป หรือต้องใช้คีมช่วยถ้าการคลอดติดขัด เมื่อมดลูกแตก จะมีเลือดออกทั้งในช่องท้องและออกจากช่องคลอด ผู้ป่วยจะปวดท้องมากจนแทบขยับตัวไม่ได้ ความดันโลหิตต่ำ และทารกอาจเสียชีวิตทันที ภาวะนี้ต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉินไปเย็บซ่อม หรือตัดมดลูกทิ้งหากเย็บซ่อมไม่ได้
- ภาวะที่ไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่น
- มีเส้นเลือดขอดที่ผนังช่องคลอดแล้วเกิดการฉีกขาด
- มีพยาธิสภาพที่ช่องคลอดหรือที่ปากมดลูกจากการบาดเจ็บ ติดเชื้อ หรือเนื้องอก
- มีโรคที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
แนวทางการตรวจรักษา
ภาวะตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ไม่ว่าในระยะไหนก็ควรรีบไปพบสูติแพทย์ แต่อย่าเพิ่งตกใจมากจนเกินไป ขั้นต้นควรสังเกตด้วยตนเองก่อนว่าไม่ใช่ออกมาจากก้นที่เป็นริดสีดวงทวารหรือจากแผลบริเวณก้น โดยทั่วไปเลือดที่ออกมาจากช่องคลอดเวลาเช็ดจะเหมือนกับประจำเดือน ควรกะปริมาณเลือดที่ออกมาแล้วว่าประมาณกี่ซีซี กี่ช้อนโต๊ะ หรือกี่แก้ว และควรสังเกตดูอีกด้วยว่ามีอาการปวดท้อง/เจ็บครรภ์ และ/หรือ น้ำเดินร่วมด้วยหรือไม่ ระหว่างเดินทางก็ควรสังเกตอาการดิ้นของทารกในครรภ์ว่ายังเป็นปกติอยู่หรือไม่ หลังตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน การที่ลูกดิ้นน้อยลงหรือไม่ดิ้นเลยเป็นสัญญาณที่ไม่ดี
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์และพยาบาลจะทำการประเมินสัญญาณชีพ ให้น้ำเกลือ ให้ออกซิเจน ตรวจเลือด ตรวจอัลตราซาวด์ จับสัญญาณการเต้นของหัวใจของทารก และเตรียมเลือดกับห้องผ่าตัดไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน การรักษานอกจากจะขึ้นกับสาเหตุ อายุครรภ์ สภาพของมารดาและทารกในขณะนั้นแล้ว ยังขึ้นกับความพร้อมของบุคลากร เครื่องมือ และห้องผ่าตัดอีกด้วย