เจ็บอก (Chest pain)

อาการเจ็บอกหรือแน่นอกเป็นอาการยอดฮิตที่พบในเว็บไซต์สุขภาพแทบจะทุกแห่ง และส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่โรคหัวใจ แต่ในหน้านี้จะกล่าวถึงสาเหตุที่พบได้บ่อยทั้งหมดและความแตกต่างของอาการเจ็บอกในแต่ละสาเหตุ โดยหวังว่าผู้อ่านจะเห็นภาพได้กว้างขึ้น และไม่เหมารวมกล้วว่าจะเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเสียทุกครั้งที่มีอาการเจ็บอก

สาเหตุของอาการเจ็บอก

สาเหตุของอาการเจ็บอกแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 5 กลุ่มคือ จากโรคของผนังทรวงอก (ตั้งแต่กล้ามเนื้อ กระดูกซี่โครง ผิวหนังและเนื้อเยื่อ) พบบ่อยที่สุด ถัดไปคือจากโรคของปอดและอวัยวะภายในทรวงอกอื่น ๆ นอกจากหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งพบพอ ๆ กับสาเหตุจากจิตใจหรือพวกที่ไม่พบความผิดปกติใด ๆ สุดท้ายคือจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งพบพอ ๆ กับโรคของทางเดินอาหาร จะเห็นได้ว่าโรคหัวใจเป็นสาเหตุเพียง 1 ใน 5 ของอาการเจ็บอกทั้งหมด และโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น

หากจะลงไปในรายละเอียดของแต่ละกลุ่ม โรคที่พบบ่อยมีดังต่อไปนี้

โรคของผนังทรวงอก

  1. โรคงูสวัด อาการเจ็บแสบที่ผิวหนังจะมาก่อนตุ่มน้ำใสประมาณ 1-2 วัน ผิวหนังบริเวณนั้นจะขึ้นรอยแดงก่อน สามารถระบุตำแหน่งที่ปวดได้ชัดเจน และไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว การหายใจ การออกกำลัง หรือมื้ออาหาร
  2. ภาวะกล้ามเนื้อและเอ็นเคล็ดหรืออักเสบจากการออกกำลัง เป็นกลุ่มที่พบบ่อยมาก ลักษณะจะเป็นแบบปวดเมื่อยเวลาขยับแขนหรือเอี้ยวตัว อาการไม่รุนแรง ได้พักไม่กี่วันก็หาย
  3. จากการบาดเจ็บ เช่น ทรวงอกถูกอัด ซี่โครงหัก ถ้าไม่กระทบปอดการรักษาจะเพียงการพักและให้ยาบรรเทาอาการ กระดูกซี่โครงที่หักจะสามารถติดได้เองภายในเวลา 6 สัปดาห์ ไม่ต้องดามหรือเข้าเฝือกอก
  4. โรคกระดูกซี่โครงอักเสบ มักพบในคนหนุ่มสาว การอักเสบจะเกิดขึ้นมาเองตรงบริเวณรอยต่อของกระดูกอ่อนกับกระดูกอก (หมายเลข 1 ในรูป) หรือรอยต่อของกระดูกอ่อนกับกระดูกซี่โครง (หมายเลข 2 ในรูป) ข้างใดข้างหนึ่ง อาจเป็นพร้อม ๆ กันหลายซี่ ถ้าเอานิ้วกดตรงตำแหน่งนั้นจะเจ็บมาก อาการปวดสามารถทุเลาได้ด้วยยาแก้ปวดลดอักเสบกลุ่ม NSAIDs การอักเสบจะเป็นไม่เกิน 7 วัน ถ้าปวดไม่มากเพียงคอยระวังไม่ให้ถูกกระแทกบริเวณนั้นอาการปวดก็จะค่อย ๆ ทุเลาได้เอง
  5. กลุ่มอาการกดรัดหลอดเลือดและเส้นประสาทบริเวณทางออกช่องอก (Thoracic outlet syndrome, TOS) คือ ช่องที่อยู่ระหว่างกระดูกไหปลาร้ากับกระดูกซี่โครงซี่ที่ 1 (ตรงที่ลูกศรชี้ในรูปข้างบน) ทั้งซ้ายและขวา เป็นทางผ่านของเครือข่ายเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขนส่วนล่าง (Lower brachial plexus) และหลอดเลือดต่าง ๆ เวลาที่เรายกแขนขึ้นช่องนี้จะตีบแคบลง หากช่องนี้มีพังผืดหรือแคบอยู่แล้วตั้งแต่เกิด เมื่อเราทำกิจกรรมที่ต้องกางแขน ยกแขนอยู่บ่อย ๆ เส้นเลือดและเส้นประสาทที่ผ่านช่องนี้ก็จะถูกกด นานเข้าจะเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อไหล่และอก (ถ้าเป็นมากแขนข้างนั้นจะอ่อนแรงด้วย) โรคนี้รักษาได้ด้วยการทำกายภาพบำบัด ถ้าไม่ดีขึ้นก็ผ่าตัดเลาะพังผืดหรือเอาซี่โครงซี่แรกออก
  6. ข้อไหล่อักเสบ อาการปวดตั้งต้นที่ข้อไหล่แล้วลามมาที่กล้ามเนื้ออก จะปวดเวลาที่ขยับไหล่ข้างนั้น
  7. โรคของกระดูกสันหลังส่วนคอหรืออก อาการปวดจะอยู่ที่ด้านหลัง เจ็บเวลาก้มหรือหันคอ อาจมีอาการปวดหรือชาตามเส้นประสาทด้วย

โรคของปอดและเมดิแอสตินั่ม

  1. โรคหลอดลมอักเสบ อาการเจ็บอกเกิดจากการไอมาก ลักษณะจะเป็นการปวดสีข้างบริเวณเหนือเอวขึ้นมาเล็กน้อย ตรงตำแหน่งที่กระบังลมเกาะอยู่ ทั้งสองข้าง
  2. โรคปอดบวม อาการจะเป็นแบบเจ็บอกข้างเดียวเวลาหายใจ และมีอาการร่วมที่สำคัญ 3 อย่างของโรคปอดบวม คือ มีไข้ ไอ และหอบเหนื่อย ยิ่งเวลาไอจะยิ่งเจ็บอกข้างที่เป็นปอดบวมมาก
  3. ภาวะที่มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด ช่องเยื่อหุ้มปอดจะอยู่ระหว่างเนื้อปอดกับผนังทรวงอก ปกติจะเป็นสูญญากาศ เพื่อเวลาที่กระบังลมดันตัวลงต่ำและทรวงอกขยายเมื่อเราหายใจเข้า ช่องนี้จะมีแรงดันเป็นลบดึงอากาศเข้ามาในปอดได้ง่าย ในบางภาวะ เช่น การติดเชื้อในทางเดินหายใจ, วัณโรคของเยื่อหุ้มปอด, มะเร็ง, ไตวาย, ตับแข็ง, หัวใจล้มเหลว, หรือภาวะโปรตีนต่ำในเลือด ช่องนี้อาจมีน้ำซึมเข้ามาได้ ทำให้รู้สึกแน่น ๆ ในอก หายใจไม่สะดวก ถ้าเป็นจากการติดเชื้อในทางเดินหายใจก็จะเจ็บอกเวลาหายใจเหมือนโรคปอดบวม
  4. ฝีที่ปอด มักเกิดจากการติดเชื้อเรื้อรังในปอด อาการคล้ายปอดบวมแต่เป็นนานกว่า และเสมหะเป็นหนองหรือมีเลือดปน
  5. วัณโรคปอด อาการเจ็บอกมักไม่รุนแรง อาการหลักคือไอเรื้อรัง ผอมลง เหนื่อยง่าย มีไข้เป็น ๆ หาย ๆ มักเป็นในคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว
  6. ภาวะปอดแตก เวลาที่เราไอมากและรุนแรง ถุงลมในปอดอาจแตกได้ เวลาปอดแตกจะเจ็บอกแปล๊บขึ้นมาทันที จากนั้นจะเริ่มรู้สึกหายใจไม่อิ่มและเจ็บอกข้างที่มีปอดแตกนั้นทุกครั้งที่หายใจเข้า อาการจะคล้ายกับปอดอักเสบเพียงแต่ไม่มีไข้เท่านั้น ภาวะปอดแตกมักพบในคนผอมสูง
  7. มะเร็งปอด ก้อนที่ปอดช่วงแรกจะไม่แสดงอาการอะไร เมื่อเกิดอาการเจ็บอกนั่นคือถึงระยะลุกลามแล้ว
  8. โรคภายในเมดิแอสตินั่ม เมดิแอสตินั่มหรือที่บางคนเรียกว่า "ประจันอก" นั้นคือช่องที่อยู่ระหว่างเนื้อปอดทั้งสองข้าง ภายในมีหัวใจ หลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง ต่อมไทมัส โรคของเมดิแอสตินั่มเช่น การอักเสบติดเชื้อ (mediastinitis) การมีลมเข้ามาขังอยู่ (pneumomediastinum) ซึ่งจะมีไข้ เจ็บกลางอกมากและเป็นอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นเนื้องอกของอวัยวะภายในเมดิแอสตินั่มเองก็ทำให้มีอาการเจ็บอกแบบแน่นขึ้นอย่างช้า ๆ ได้

โรคหัวใจและหลอดเลือด

  1. โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial ischemia) โรคยอดฮิตนี้พบได้น้อยมากในผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 35 ปี และในผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 45 ปี หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่มีอาการเจ็บอกไม่ควรวิตกเกินเลยไป นอกจากอายุแล้วยังมักต้องมีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโคเลสเคอรอลในเลือดสูงที่ซ้ำเติมความเสื่อมของหลอดเลือด โรคนี้มีอาการได้ 2 ลักษณะคือ แบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ทั้งสองแบบจะเกิดตอนกำลังเดินหรือออกแรง แบบเฉียบพลันคือเป็นครั้งแรกก็มีกล้ามเนื้อหัวใจตายเลย โดยจะรู้สึกถูกบีบรัดในอกเหมือนมีของหนักมาก ๆ มาทับอกไว้ หายใจไม่สะดวก เหงื่อแตก ใจเต้นเร็ว ทำอะไรไม่ได้ นั่งพักก็ไม่หาย อาการปวดอาจร้าวไปที่คอ กราม หรือแขนซ้ายดังรูป หรืออาจปวดทะลุไปกลางหลัง แบบเรื้อรังจะมีอาการคล้ายกัน แต่พอนั่งพักสักครู่ก็จะค่อยดีขึ้น แล้วพอเริ่มออกแรงก็จะเป็นอีก บางทีมีอาการเป็นซ้ำวันละหลายครั้ง แบบเฉียบพลันควรไปโรงพยาบาลทันทีภายใน 20 นาที แบบเรื้อรังก็ควรรีบหาเวลาไปตรวจที่โรงพยาบาล
  2. โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis) โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย การบาดเจ็บ การฉายรังสีที่อก ไตวาย วัณโรค มะเร็ง และโรคเรื้อรังอื่น ๆ อาการเจ็บอกจะเกิดขึ้นปุบปับ เสียดแทงอกอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเวลาหายใจเข้าลึก ๆ หรือนอนลงจะยิ่งเจ็บมากขึ้น เวลานั่งหรือเอนตัวไปข้างหน้าจะค่อยดีขึ้น ภาวะนี้ส่วนใหญ่เกิดไม่นาน แม้โรคตั้งต้นอาจยังไม่หายดีแต่อาการเจ็บอกจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบอาจหายไปก่อน
  3. โรคผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาโดยไม่ทราบสาเหตุ (Hypertrophic cardiomyopathy) เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเบบ autosomal dominant พบในผู้ชายมากกว่า และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเฉียบพลันขณะออกกำลังหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ ในคนหนุ่ม เนื่องจากการหนาตัวของผนังจะกินที่เข้ามาด้านในของห้อง ทำให้พื้นที่รับเลือดภายในห้องล่างซ้าย (ซึ่งเป็นห้องที่ทำหน้าที่ฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายทั้งหมด) ลดลง นอกจากนั้นยังมักพบการหนาของผนังกั้นห้องด้านบนซึ่งใกล้กับทางออกของเลือดจากหัวใจ ทำให้เลือดออกจากหัวใจได้ช้าลงด้วย ในภาวะที่ออกกำลังมาก หัวใจจะเต้นเร็วและบีบตัวแรงทั้งที่ยังคลายตัวไม่สุด ปริมาตรเลือดที่ไหลเข้าห้องล่างซ้ายจะลดลงเรื่อย ๆ ปริมาณเลือดที่ฉีดออกไปก็จะลดลงตามกันจนไม่พอที่จะเลี้ยงอวัยวะทั้งหมด อวัยวะที่ทำงานหนักจะมีผลกระทบก่อน นั่นคือตัวหัวใจนี่เอง เด็กหนุ่มเหล่านี้จะมีอาการเจ็บอกคล้ายคนเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และอาจเป็นลมหมดสติไปในทันที เด็กหรือหนุ่มสาวที่เป็นลมบ่อยขณะเล่นกีฬา เดินไกล หรือออกแรงมากควรที่จะต้องตรวจโรคนี้
  4. ภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Aortic stenosis) ภาวะนี้อาจเป็นแต่กำเนิด หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้รูห์มาติก หรือเป็นการเสื่อมของลิ้นหัวใจจากการมีหินปูนมาเกาะในคนสูงอายุ อาการเจ็บอกจะคล้ายกับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คือเจ็บตอนออกกำลัง เพราะช่วงนั้นร่างกายต้องการเลือดไปเลี้ยงมากแต่ทางออกของเลือดมีขนาดเล็กเกินไป แต่ภาวะนี้รักษาได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนหรือซ่อมลิ้นหัวใจ
  5. ภาวะลิ้นหัวใจไมตรัลโผล่แลบ (Mitral valve prolapse) ลิ้นหัวใจไมตรัลเหมือนประตูเปิดทางเดียวให้เลือดจากหัวใจห้องบนซ้ายไหลลงมาห้องล่างซ้ายเมื่อหัวใจคลายตัว เมื่อหัวใจบีบตัวประตูนี้จะปิด ในภาวะนี้ลิ้นหัวใจไมตรัลปิดแบบมีการโผล่บางส่วนกลับเข้าไปในหัวใจห้องบนซ้าย แต่ยังไม่ถึงกับรั่วให้เลือดไหลย้อนกลับ ภาวะนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่แพทย์อาจตรวจพบจากการตรวจร่างกายหรือตรวจคลื่นเสียงหัวใจ ผู้ที่มีอาการส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง คือมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นๆ หาย ๆ ใจสั่น เหนื่อยง่าย วิงเวียน เป็นลม
  6. โรคหลอดเลือดที่ปอดอุดตันจากลิ่มเลือด (Pulmonary embolism) โรคนี้ก็เป็นภาวะฉุกเฉินอีกโรคหนึ่ง มักพบในคนที่ป่วยจนต้องนอนนาน ๆ หรือมีประวัติหลอดเลือดที่ขาอุดตันมาก่อน อาการหลักคือเหนื่อยหอบขึ้นมาฉับพลัน หายใจเร็ว เหงื่อออก ไอ(เป็นเลือด) เจ็บอก และอาจหมดสติ
  7. ภาวะความดันเลือดที่ปอดสูง (Pulmonary hypertension) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดเรื้อรัง หรือผู้ที่สูบบุหรี่มาก อาการจะเหนื่อยง่าย (แค่เดินก็เหนื่อยแล้ว) ไอ มือ-เท้า-ปากเขียวคล้ำ แน่นอกเวลาหอบ ต้องการออกซิเจนตลอดเวลา
  8. โรคหลอดเลือดแดงเอออร์ตาแตกเซาะ (Aortic dissection) เป็นโรคที่พบได้น้อย ส่วนใหญ่เกิดในผู้สูงอายุที่เป็นความดันโลหิตสูงมานาน ทำให้ผนังหลอดเลือดนี้เปราะ เกิดการฉีกขาดที่ผนังชั้นใน แรงดันเลือดจะช่วยเซาะให้รอยแตกนี้กว้างขึ้นจนผนังชั้นในแยกจากผนังชั้นกลาง ผนังชั้นในนี้จะกลายเป็นแผ่นปิดทางเดินของเลือดปกติ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักจะเจ็บอกฉับพลันอย่างรุนแรง ช็อก และเสียชีวิตภายในเวลาอันรวดเร็ว

โรคของทางเดินอาหาร

  1. โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease, GERD) เป็นโรคเรื้อรังที่กรดจากกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหาร ทำให้มีอาการแสบร้อนกลางอก รู้สึกมีน้ำเปรี้ยว ๆ ขม ๆ ไหลขึ้นคอ ไอ เสียงแหบ อาการเหล่านี้จะเกิดเป็นพัก ๆ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ มักเป็นเวลาเอนกายหรือนอนหลังทานอาหารจนอิ่ม อาการจะดีขึ้นเมื่อลุกนั่ง
  2. โรคของหลอดอาหาร เช่น หลอดอาหารบีบเกร็ง (spasm), หลอดอาหารฉีกขาด (tear), หลอดอาหารตีบ (stricture), มะเร็งหลอดอาหาร เป็นต้น โรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการกลืนลำบาก กลืนไม่ลง กลืนแล้วติด ต้องขย้อนกลับออกมา อาการจะสัมพันธ์กับการกินอาการ การจุกอกเกิดจากการที่อาหารติดค้างอยู่ในหลอดอาหาร โรคหลอดอาหารฉีกขาดมักเป็นที่ส่วนล่าง เกิดหลังการอาเจียนมากจนกรดในกระเพาะขึ้นมากัดหลอดอาหารจนเป็นแผล อาการจะแสบร้อนหลังอกส่วนล่าง การอาเจียนครั้งหลัง ๆ จะมีเลือดปนออกมา
  3. โรคแผลในกระเพาะ (Peptic ulcer) ตำแหน่งที่แสบร้อนจะอยู่แถวลิ้นปี่ สัมพันธ์กับอาหาร ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ไอ ไข้ หรือใจสั่น
  4. โรคถุงน้ำดีอักเสบ (Cholecystitis) ตำแหน่งที่ปวดจะอยู่ตรงชายโครงขวา กดเจ็บ อาจร้าวไปที่สะบักขวา มักพบในหญิงท้วมวัยกลางคน และมักเกิดหลังทานอาหารมื้อที่มีไขมันมาก
  5. โรคตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) ตำแหน่งที่ปวดจะอยู่แถวลิ้นปี่ทะลุไปด้านหลัง ท้องอืด อาเจียนมาก มักพบในผู้ที่ดื่มสุรามาก

โรคทางจิตใจและไม่ทราบสาเหตุ

ได้แก่ กลุ่มอาการ Hyperventilation ที่มักเป็นในหญิงสาว โดยมีอาการหายใจหอบลึก มือชา และเจ็บหน้าอก และกลุ่มที่มีอาการเจ็บอกแบบแปล๊บ ๆ ขึ้นมาเป็นวินาทีแล้วหายไป แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ แม้ในกลุ่มหลังนี้เราจะยังไม่ทราบสาเหตุของอาการเจ็บอก แต่ขอให้ท่านมั่นใจว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหากท่าน...

  • เอามือกดที่กระดูกอก, กระดูกซี่โครงแล้วไม่เจ็บ ก้ม-เงย-หันคออย่างใดก็ไม่เจ็บ ไม่ชา (เพราะแสดงว่าไม่ใช่โรคของผนังทรวงอก)
  • หายใจเข้า-ออกได้สะดวกดี ไม่เจ็บ ไม่ไอ (เพราะแสดงว่าไม่ใช่โรคของปอด)
  • อาการเจ็บอกไม่สัมพันธ์กับการกินอาหาร ไม่ปวดท้อง ไม่อาเจียน (เพราะแสดงว่าไม่ใช่โรคของทางเดินอาหาร)
  • อายุอยู่ในช่วง 15-35 ปี ออกแรงได้ไม่เหนื่อยง่าย ไม่เคยเป็นลม ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย (ผู้ชาย < 40 ปี, ผู้หญิง < 50 ปี) หรือเคยตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วปกติ (เพราะโอกาสจะเป็นโรคหัวใจที่ร้ายแรงน้อยมาก)

โดยทั่วไปทางการแพทย์เชื่อว่าอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นมาจากจิตใจก่อน หากจิตใจสบาย ไม่มีภาระ ร่างกายก็จะสมานความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เอง หากทิ้งภาระไม่ได้และความผิดปกติดูจะใหญ่ขึ้นก็จะมีอาการของระบบนั้นให้เห็นในเวลาต่อมา ถึงตอนนั้นการตรวจวินิจฉัยถึงจะพบพยาธิสภาพทางร่างกายจริง ๆ