ท้องอืดท้องเฟ้อ (Dyspepsia)
อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องหลังรับประทาน อิ่มเร็ว มีลมในท้อง เรอบ่อย อาหารไม่ย่อย แสบร้อนลิ้นปี่ เป็นกลุ่มอาการของทางเดินอาหารส่วนบนที่รวมเรียกว่า "dyspepsia" ปัจจุบันพบมากถึงร้อยละ 10-30 ของประชากรเมือง ส่วนใหญ่อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ จนต้องไปพบแพทย์ และดูเหมือนแพทย์จะไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าสั่งยาโรคกระเพาะให้ไปกิน 1-2 สัปดาห์
ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุของอาการดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากโรคกระเพาะอาหารแปรปรวน (Functional dyspepsia) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด เอกซเรย์ และส่องกล้องทางเดินอาหาร จะไม่พบความผิดปกติ การตรวจหาสาเหตุที่อาจเป็นไปได้อื่น ๆ เช่น แผลในกระเพาะ ภาวะกรดไหลย้อน นิ่วในถุงน้ำดี รวมทั้งมะเร็ง มีค่าใช้จ่ายสูง สมาคมแพทย์ทางเดินอาหารของแทบทุกประเทศแนะนำให้สืบค้นเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเท่านั้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรตรวจเพิ่ม
นิ่วในถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดี
- เพศหญิง อายุ 50 ปีขึ้นไป
- อ้วน
- ชอบอาหารที่มีไขมันสูง
- จุกเสียดใต้ชายโครงขวาบ่อย หลังอาหารมื้อใหญ่ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- มีโรคเบาหวาน
- รับประทานยาลดไขมันในเลือด
มะเร็งตับหรือท่อน้ำดี
- เป็นโรคตับแข็ง
- เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี และ/หรือ ซี เรื้อรัง
- มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งตับหรือท่อน้ำดี
- น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
- ตาเหลือง คันตามตัว
- มีจ้ำเลือดง่าย
- สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
หากใครมีความเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อตรวจเลือดดูการทำงานของตับ และ/หรือ อัลตราซาวด์ตับและทางเดินน้ำดี หานิ่วและมะเร็งต่อไป
นิ่วในถุงน้ำดีที่ไม่มีการอักเสบปัจจุบันไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เลี่ยงอาหารมัน เพิ่มผักและธัญพืชแทน
มะเร็งทางเดินอาหาร
- น้ำหนักลด เบื่ออาหาร
- ขับถ่ายอุจจาระผิดปกติไปจากเดิม เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระลีบเล็กลง ถ่ายเป็นมูกลื่น ถ่ายเป็นเลือดแดงหรือสีดำ
- โลหิตจาง
- อาเจียนต่อเนื่อง
- กลืนลำบาก
- มีโรคพันธุกรรมเสี่ยงมะเร็งในครอบครัว
- มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์มาก, อ้วน, ชอบกินเนื้อแดงหรือเนื้อสัตว์ใหญ่ แบบปิ้ง ย่าง รมควัน, กินผัก ผลไม้ และธัญพืชน้อย
- เคยเป็นติ่งเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ชนิด adenomatous หรือ hyperplastic polyp หรือเคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และได้รับการรักษามาก่อน
- เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ชนิด ulcerative colitis หรือ Crohn’s disease
แผลในกระเพาะอาหาร
- ชอบรับประทานอาหารรสจัด
- ชอบละเลยเวลาอาหารไปหลายชั่วโมง
- เครียด
- รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาแก้ปวดเป็นประจำ
- สูบบุหรี่
- ดื่มสุรา
ภาวะกรดไหลย้อน
- ชอบรับประทานจนอิ่มแปล้
- กินเสร็จไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็เอนตัว
- แสบร้อนกลางอก
- มีน้ำรสขมหรือเปรี้ยวไหลย้อนขึ้นคอ
- อ้วน
- ตั้งครรภ์
- มีไส้เลื่อนที่กระบังลม
หากใครมีความเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งดังกล่าว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อนัดส่องกล้องทางเดินอาหารต่อไป
แผลในกระเพาะอาหารและภาวะกรดไหลย้อนรักษาได้ง่าย แต่ก็กลับมาเป็นใหม่ง่ายถ้ายังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่
เกณฑ์วินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารแปรปรวน
มูลนิธิโรม (Rome) ได้กำหนดเกณฑ์วินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารแปรปรวน (Rome IV) โดยไม่ต้องตรวจเพิ่ม หากมีอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 3 วันในหนึ่งสัปดาห์ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยเริ่มมีอาการเล็กน้อยกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
- จุกแน่นหลังมื้ออาหาร
- อิ่มเร็วกว่าปกติ
- ปวดบริเวณลิ้นปี่
- แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่
และไม่มีสัญญาณอันตรายหรือปัจจัยเสี่ยงที่สมควรได้รับการสืบค้นด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหาร แพทย์สามารถให้ยาบรรเทาอาการได้เลย เมื่อผลการรักษาไม่ดีขึ้น หรือหายแล้วกลับมาเป็นใหม่ ถึงค่อยส่องกล้องตรวจหาเชื้อ H. pylori
หากตรวจทุกอย่างแล้วไม่พบความผิดปกติก็จะจัดเป็นโรคกระเพาะอาหารแปรปรวนโดยสมบูรณ์ ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจมีโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome) หรือภาวะกรดไหลย้อนร่วมด้วยในบางครั้งก็ได้ การรักษาอาจใช้ยาลดกรด ยาขับลม Prokinetics หรือยาสมุนไพรแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เวลาที่มีอาการ