ไอเป็นเลือด (Hemoptysis)
ไอเป็นเลือดเป็นอาการสำคัญที่ต้องแยกออกจาก การอาเจียนเป็นเลือด และ การบ้วนน้ำลายปนเลือด ให้ชัดเจน แม้จะดูเหมือนง่าย แต่เมื่อเกิดเหตุจริง ผู้ป่วยหรือผู้ที่อยู่ใกล้มักตกใจจนแยกความแตกต่างไม่ได้ ส่งผลต่อแนวทางการสืบค้นของแพทย์อย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่เลือดหยุดแล้วและตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติใด ๆ
ในภาวะ ไอเป็นเลือด เลือดที่ออกจากปากมาจากการไอ จึงมักออกปริมาณไม่มาก ลักษณะติดเสมหะ เป็นละอองฝอยหรือมีฟอง
ออกเป็นจังหวะตามการไอซึ่งมักกลั้นไม่อยู่ และผู้ป่วยมักมีอาการหายใจลำบากร่วมด้วย
ส่วน อาเจียนเป็นเลือด เลือดจะมาจากกระเพาะอาหารที่มีเลือดออกจนล้น ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และหดตัวของกระเพาะหรือกล้ามเนื้อหน้าท้องดันออกมา
มักออกมาปริมาณมาก น่าตกใจกว่า และอาจมีเศษอาหารหรือเลือดที่จับตัวแล้วปนออกมา ผู้ป่วยมักไม่มีอาการหายใจลำบาก
สำหรับ บ้วนน้ำลายปนเลือด มักเป็นการขากเสมหะหรือบ้วนน้ำลายปกติที่มีเลือดปน ซึ่งอาจมาจากเหงือก ฟัน โพรงจมูก ไซนัส คอหอย
กล่องเสียง หรือหลอดลมส่วนต้น ที่สำคัญคือไม่มีอาการหายใจลำบากหรือคลื่นไส้
กรณีเลือดออกมากกว่า 200 ซีซี ต่อครั้ง หรือมากกว่า 600 ซีซี ต่อวัน จัดเป็นภาวะอันตรายที่มีอัตราตายสูง
จำเป็นต้องวินิจฉัยและรักษาอย่างเร่งด่วน
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อาการไอเป็นเลือดอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติของปอด หัวใจ หรือระบบเลือด (สีแดง = สาเหตุที่พบได้บ่อย)
1. จากพยาธิสภาพที่ปอด
- การบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุทรวงอก, วัตถุตกลงในหลอดลม
- การติดเชื้อ หลอดลมอักเสบ, ปอดอักเสบ, วัณโรค, ฝีที่ปอด, bronchiectasis, ปอดติดเชื้อราหรือพยาธิ
- เนื้องอก เช่น เนื้องอกไม่ร้ายที่ปอด, มะเร็งปอด, มะเร็งจากที่อื่นลามมาที่ปอด
- ความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น ลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดปอด (pulmonary embolism), ภาวะหลอดเลือดอักเสบ (vasculitis), หลอดเลือดดำและแดงต่อกันผิดปกติ (AV fistula, AV malformation)
- อื่น ๆ เช่น Diffuse interstitial fibrosis, Sarcoidosis, Hemosiderosis, Cystic fibrosis, Goodpasture's syndrome, Catamenial hemoptysis เป็นต้น
2. จากพยาธิสภาพที่หัวใจ
- โรคหัวใจที่ส่งผลให้ความดันของหลอดเลือดจากปอดเข้าหัวใจสูง (pulmonary venous hypertension) เช่น ลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ, Eisenmenger's syndrome, aortic aneurysm, ภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อเลือดเข้าหัวใจไม่ได้จะท้นกลับไปที่ปอด เกิดภาวะที่แพทย์เรียกกันว่า "ปอดบวมน้ำ" (pulmonary edema) ผู้ป่วยจะไอเป็นฟองเลือด
3. จากพยาธิสภาพที่ระบบการแข็งตัวของเลือด
- การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดเป็นประจำ
- โรคเลือดที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ, มะเร็งเม็ดเลือดขาว, ฮีโมฟีเลีย
แนวทางการวินิจฉัย
ผู้ที่มีอาการไอเป็นเลือดทุกรายควรได้รับการเอกซเรย์ทรวงอกและตรวจเลือดเพื่อดูระดับเกล็ดเลือด รวมถึงค่าเวลาในการแข็งตัวของเลือด หากเอกซเรย์ทรวงอกปกติ สาเหตุจะอยู่ที่หลอดลม, หลอดเลือด และระบบการแข็งตัวของเลือด ที่พบบ่อยที่สุดคือ หลอดลมอักเสบ (ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง) ซึ่งการไอแรงหรือบ่อยอาจทำให้เส้นเลือดฝอยแตกได้ ถ้าไม่มีอาการไอมาก่อนเลยและผลเลือดยังปกติทั้งหมดจะต้องสืบค้นต่อที่ความผิดปกติของหลอดเลือด
โรค Catamenial hemoptysis แม้พบน้อยมาก แต่ควรนึกถึงในผู้หญิงที่มีอาการไอเป็นเลือดเกิดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน สาเหตุเกิดจากการที่เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกไปอยู่ในหลอดลม ทำให้เกิดการหนาตัวและหลุดลอกตามรอบเดือน
หากเอกซเรย์ทรวงอกพบความผิดปกติที่ปอด อาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเสมหะ, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT), หรือส่องกล้องตรวจหลอดลม แต่ถ้าสงสัยสาเหตุจากหัวใจ แพทย์ก็จะตรวจหาความผิดปกติของหัวใจต่อไป (หากยังไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน)
สรุป
อาการไอเป็นเลือดเป็นสัญญาณสำคัญที่ต้องประเมินแยกจากการอาเจียนเป็นเลือดและการบ้วนน้ำลายปนเลือดให้ชัดเจน เพราะแต่ละภาวะมีสาเหตุและแนวทางรักษาต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สาเหตุของการไอเป็นเลือดอาจเกิดจากพยาธิสภาพของปอด หัวใจ หรือระบบเลือด โดยมีตั้งแต่ภาวะไม่รุนแรง เช่น หลอดลมอักเสบ จนถึงภาวะอันตราย เช่น เลือดออกจำนวนมากหรือโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ป่วยที่มีอาการนี้ควรได้รับการตรวจพื้นฐาน ได้แก่ เอกซเรย์ทรวงอกและการตรวจเลือด เพื่อค้นหาต้นเหตุ หากพบความผิดปกติควรได้รับการสืบค้นต่ออย่างเหมาะสม และที่สำคัญ หากมีเลือดออกมากผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้