ความดันโลหิตสูง (Hypertension, High blood pressure)
ความดันโลหิตสูงเป็นคำที่ใช้เรียกทั้ง "อาการแสดง" และ "โรค"
โรคความดันโลหิตสูง (Essential hypertension หรือ Primary hypertension) หมายถึง โรคที่มีความดันในหลอดเลือดแดงเฉลี่ยขณะพัก จากการวัดทางอ้อม (ที่แขนหรือขา) มากกว่า 1 ครั้ง สูงกว่าค่าปกติของคนวัยเดียวกันตลอดเวลา จากการนัดตรวจซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป โดยที่หาสาเหตุของความดันโลหิตที่สูงขึ้นตลอดเวลานั้นไม่ได้
ส่วนการตรวจพบว่ามีความดันโลหิตสูงชั่วคราว หรือมีโรคที่ทำให้ความดันโลหิตในร่างกายสูงขึ้นตลอดเวลา จะถือเป็นเพียงอาการแสดงของภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว หรือเป็นอาการแสดงแทรกซ้อนของโรคดั้งเดิมที่เป็นสาเหตุเท่านั้น
ความดันโลหิตประกอบด้วยตัวเลข 2 ค่า มีหน่วยเป็น มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
- ตัวบน (systolic) คือความดันภายในหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจฉีดเลือดออกไป ผนังหลอดเลือดจะโป่งออกอย่างที่เรารู้สึกเวลาจับชีพจร
- ตัวล่าง (diastolic) คือความดันพื้นฐานภายในหลอดเลือดแดงเวลาที่หัวใจคลายตัว
การวัดความดันทางตรงคือการสอดสายเข้าไปวัดภายในหลอดเลือดแดงโดยตรง ซึ่งจะทำในหอผู้ป่วยหนักกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติและจำเป็นต้องเฝ้าดูความดันโลหิตตลอดเวลาเท่านั้น ส่วนการวัดทางอ้อมก็คือการวัดโดยใช้ผ้าเก็บลมพันที่ต้นแขนแล้วจับเสียงเต้นของหลอดเลือดแดงที่อยู่ต่ำลงมาอย่างที่เราเห็นกันทั่วไป ค่าความดันตัวบนจากการวัดทางอ้อมอาจต่ำกว่าค่าที่วัดได้ทางตรง 5-25 มิลลิเมตรปรอท ขึ้นกับความไวของหูคนฟังหรือตัวจับสัญญาณเสียงเต้นแรกของชีพจร
ค่าความดันโลหิตปกติของคนในแต่ละวัยเมื่อวัดที่แขนจะเป็นดังนี้
| ความดันโลหิต (มิลลิเมตรปรอท) |
ตัวบน (systolic) | ตัวล่าง (diastolic) |
วัยทารก | ไม่ควรเกิน 90 | ไม่ควรเกิน 60 |
วัย 3 – 6 ปี | ไม่ควรเกิน 110 | ไม่ควรเกิน 70 |
วัย 7 – 10 ปี | ไม่ควรเกิน 120 | ไม่ควรเกิน 80 |
วัย 11 – 17 ปี | ไม่ควรเกิน 130 | ไม่ควรเกิน 80 |
วัย 18 ปีขึ้นไป | ไม่ควรเกิน 140 | ไม่ควรเกิน 90 |
ประเภทของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ความดันโลหิตสูงเฉพาะตัวบน (Isolated systolic hypertension) คือความดันโลหิตที่ตัวล่างไม่เคยเกิน 80 มิลลิเมตรปรอท แต่ตัวบนสูงเกิน 130 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งพบได้ในภาวะดังต่อไปนี้
- ภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็ง ขาดความยืดหยุ่น (atherosclerosis) มักพบในคนสูงอายุ และเป็นสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ หากตรวจไม่พบสาเหตุอื่น ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะรักษาเหมือนเช่นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วไป
- ภาวะที่มีการเพิ่มขึ้นของปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาที (cardiac output) เช่น ภาวะไข้สูง โลหิตจาง ไทรอยด์เป็นพิษ หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น
- ภาวะที่มีการเพิ่มปริมาตรเลือดที่หัวใจบีบออกไปต่อครั้ง (stroke volume) เช่น โรคลิ้นหัวใจรั่ว ภาวะหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ เป็นต้น
- โรคหลอดเลือดแดงเอออร์ตาคอด (Coarctation of aorta) อาจทำให้ความดันโลหิตที่แขนสองข้างไม่เท่ากัน
- ความดันโลหิตตัวล่างสูง (Diastolic hypertension) ซึ่งหมายถึงความดันพื้นฐานของทั้งระบบไหลเวียนสูง และเกือบทั้งหมดจะมีความดันตัวบนสูงด้วย สาเหตุอาจเป็นได้จาก
- โรคไต ได้แก่
- รอยโรคภายในหลอดเลือดแดงที่ไต เช่น Atherosclerotic plaque, Fibromuscular hyperplasia, Aneurysm, Thrombosis, Embolism, Arteriovenous fistula, Takayasu's arteritis เป็นต้น
- หลอดเลือดแดงที่ไตถูกกดทับจากภายนอก เช่น เนื้องอกที่ไต, มีพังผืดรัดหลอดเลือด เป็นต้น
- พยาธิสภาพที่เนื้อไต เช่น ไตพิการแต่กำเนิด, นิ่ว, กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis), หน่วยไตอักเสบ (Glomerulonephritis), มะเร็งไต, ไตวาย, โรคเกาท์, โรคเบาหวาน, Amyloidosis, Polycystic disease, Connective tissue diseases, ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น
- โรคของระบบต่อมไร้ท่อ พบได้ค่อนข้างน้อย ได้แก่
- โรคของต่อมหมวกไต เช่น Primary aldosteronism, Pheochromocytoma, Cushing's syndrome
- โรคของต่อมใต้สมอง เช่น Acromegaly, Cushing's disease
- โรคของต่อมไทรอยด์ เช่น Hypothyroidism
- โรคของต่อมพาราไทรอยด์ เช่น Hyperparathyroidism
- ยา เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาบ้า, ยาม้า, โคเคน, ยารักษาไมเกรนบางชนิด, ยาลดอาการคัดจมูกที่มีตัวยา pseudoephedrine, ยาแก้หอบหืด, ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs, ยาต้านซึมเศร้าและยารักษาโรคจิตบางชนิด, ยาสมุนไพรหรือยาจีนที่มีพืชพวกอีเฟดรา (ephedra คนจีนเรียก "มาฮวง") โสม (ginseng) หรือสเตียรอยด์ (steroid) ผสมอยู่ด้วย, รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและเครื่องดื่มชูกำลังทุกชนิด
- สาเหตุอื่น ๆ เช่น
- มีความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น จากเนื้องอกสมอง ฝีในสมอง เลือดออกในสมอง เป็นต้น
- มีภาวะเลือดข้น (Polycythemia) มักพบในคนสูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีความผิดปกติของไขกระดูก
- โรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่มีการหยุดหายใจในขณะหลับ (Sleep apnea)
- ภาวะติดสุรา
- ภาวะเครียดรุนแรง ทั้งทางอารมณ์และการป่วยหนัก
ระดับความรุนแรงของความดันโลหิตสูง
ปัจจุบันแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ (ดูรูปใต้ตารางประกอบ)
| ความดันโลหิต (มิลลิเมตรปรอท) |
ตัวบน (SBP) | ตัวล่าง (DBP) |
เริ่มสูง | 120-130 | < 80 |
สูงระยะที่ 1 | 130-140 | 80-90 |
สูงระยะที่ 2 | 140-180 | 90-120 |
สูงขั้นวิกฤติ | ตั้งแต่ 180 ขึ้นไป | ตั้งแต่ 120 ขึ้นไป |
ปัจจุบันแพทย์วินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงเร็วขึ้น คือ ความดันที่เกิน 130/80 มิลลิเมตรปรอท ก็จัดเป็นความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 แล้ว ผู้ที่ความดันขึ้น ๆ ลง ๆ ในช่วง 125-135/80-85 อาจใช้ค่าความดันเฉลี่ย (mean arterial pressure, MAP) เป็นตัวช่วยวินิจฉัย
MAP = ความดันค่าล่าง + ⅓ (ความดันค่าบน - ความดันค่าล่าง) ถ้า > 100 มิลลิเมตรปรอท เป็นประจำถือว่ามีความดันโลหิตสูง
สำหรับระดับความดันที่เริ่มสูงและตรวจไม่พบสาเหตุอาจใช้วิธีปรับวิถีชีวิตดังกล่าวข้างต้นก่อนสัก 1-2 เดือน หากไม่ได้ผลถึงค่อยเข้าสู่การติดตามและเฝ้าระวังความดันโลหิต (โดยใช้ความดันเฉลี่ยเป็นตัวช่วยวินิจฉัย)
ระดับความดันที่สูงระยะที่ 1 ขึ้นไปจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ยา หรือสภาวะแวดล้อม และควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายหาสาเหตุต่าง ๆ ข้างต้น หากตรวจไม่พบสาเหตุจึงจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งไม่สามารถแก้ที่สาเหตุได้ จำเป็นต้องรับประทานยาคุมความดันไปตลอด เพราะความดันโลหิตที่สูงอยู่ตลอดเวลาจะส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาอีกมากมาย ขณะเดียวกันภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่นที่แก้ไขไม่ได้ก็รักษาด้วยยาคุมความดันเช่นเดียวกัน
ความดันโลหิตที่ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท ลงไปถือเป็นความดันต่ำ (hypotension) ในหน้านี้จะไม่กล่าวถึง
อาการของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ดังนั้นหากไม่วัดเป็นประจำก็จะไม่ทราบ ในรายที่ความดันตัวล่างสูงอาจมีอาการหนักท้ายทอยในตอนเช้าหลังตื่นนอน ในรายที่ความดันตัวบนสูงมาก ๆ (สูงกว่า 180 mmHg ขึ้นไป) อาจมีอาการวิงเวียน หนักศีรษะ เหนื่อยง่าย ในรายที่มีสาเหตุมาจากความดันในกะโหลกศีรษะสูงจะปวดศีรษะ ซึม การตอบสนองช้า อาเจียน ในรายที่มีสาเหตุมาจากโรคไตมักมีอาการของโรคไตด้วย (ดูที่ตารางข้างล่าง) และบางรายก็เกิดอาการของภาวะแทรกซ้อนหลังจากที่มีความดันโลหิตสูงมานาน (โดยที่ไม่เคยทราบว่ามีความดันโลหิตสูงมาก่อน) เช่น เจ็บหน้าอก อัมพฤกษ์-อัมพาต ต้อหิน หัวใจโต หัวใจล้มเหลว เป็นต้น
ปัญหาที่พบบ่อยคือความดันโลหิตที่สูงไม่มากในวัยหนุ่มสาว (19-39 ปี) เช่นประมาณ 140-150/80-90 มิลลิเมตรปรอท ส่วนใหญ่เป็นผลจากภาวะหรือโรคอย่างอื่น เช่น เครียด อดนอน ไมเกรน ฯลฯ มากกว่า ซึ่งภาวะหรือโรคเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ หนักหัว มึนงง ไม่สดชื่น คล้ายความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ต่างกันที่พอได้พักผ่อน ภาวะดังกล่าวดีขึ้น ความดันก็กลับมาเป็นปกติ
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
ผู้ที่ตรวจด้วยตัวเองพบว่ามีความดันโลหิตเฉลี่ยขณะพักสูงโดยบังเอิญ ขั้นแรกควรทบทวนด้วยตัวเองก่อนว่ามีการใช้ยาหรือมีภาวะที่ทำให้ความดันขึ้นหรือไม่ หากเปลี่ยนแปลงได้ก็ควรจะทำ การหยุดยาบางชนิดอาจต้องใช้เวลา 2-4 สัปดาห์กว่าความดันจะลงมาเป็นปกติ ขึ้นกับว่าใช้ยาตัวนั้นมานานเท่าใด
หากเป็นการตรวจพบโดยแพทย์ ถ้าเป็นเด็ก แพทย์จะตรวจหาสาเหตุทันที ถ้าเป็นผู้ใหญ่และความดันสูงไม่มาก แพทย์อาจให้คำแนะนำและนัดตรวจวัดความดันอีกครั้งในอีก 1-2 สัปดาห์ถัดมา การตรวจหาสาเหตุ แพทย์จะมุ่งไปที่โรคที่พบบ่อยในกลุ่มอายุต่าง ๆ ก่อน ในผู้ใหญ่โอกาสที่จะพบสาเหตุค่อนข้างน้อย
ตารางแสดงโอกาสที่จะตรวจพบสาเหตุของความดันโลหิตสูง และโรคที่พบบ่อยในกลุ่มอายุต่าง ๆ
กลุ่มอายุ | โอกาสพบสาเหตุ | สาเหตุที่พบบ่อย |
วัยเด็ก (แรกเกิด-12 ปี) | 70-85% | โรคไต หรือโรคที่มีผลต่อไตแทบทุกชนิด โรคหลอดเลือดแดงเอออร์ตาคอด |
วัยรุ่น (12-18 ปี) | 10-15% | โรคไต หรือโรคที่มีผลต่อไตแทบทุกชนิด โรคหลอดเลือดแดงเอออร์ตาคอด |
วัยหนุ่มสาว (19-39 ปี) | 5% | โรคของต่อมไทรอยด์ โรคหลอดเลือดแดงเอออร์ตาคอด โรค Takayasu's arteritis |
วัยกลางคน (40-64 ปี) | 8-12% | Primary aldosteronism โรคของต่อมไทรอยด์ Obstructive sleep apnea (จากภาวะอ้วน) Cushing's syndrome Pheochromocytoma |
วัยสูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) | 17% | Atherosclerotic renal artery stenosis โรคไตวาย Hypothyroidism |
โรคที่เป็นสาเหตุดังกล่าวข้างต้นควรมีอาการแสดงอื่นดังต่อไปนี้ด้วย ถึงจะคุ้มค่าที่จะทำการตรวจพิเศษเพื่อการวินิจฉัย
ตารางแสดงโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดความดันโลหิตสูง อาการแสดง และการส่งตรวจเพื่อวินิจฉัย
โรค | อาการ/อาการแสดง | การตรวจพิเศษ |
หลอดเลือดแดงเอออร์ตาคอด (Coarctation of aorta) | - ความดันโลหิตตัวบนของแขนกับขาต่างกัน > 20 mmHg - ชีพจรที่ขาหนีบมาช้าหรือเบามากเมื่อเทียบกับชีพจรที่แขน - ฟังได้เสียงฟู่ตามทางที่เส้นเลือดเอออร์ตาทอดผ่าน | - MRI (ในผู้ใหญ่) - Transthoracic echocardiography (ในเด็ก) |
หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis) | - ฟังได้เสียงฟู่ที่บริเวณไต - Serum creatinine สูงขึ้น ≥ 0.5-1.0 mg/dL หลังให้ยา Angiotensin-converting enzyme inhibitor หรือ Angiotensin receptor blocker | - CT angiography - Doppler ultrasonography ของหลอดเลือดแดงไต |
โรค Takayasu's arteritis (มักพบร่วมกับ renal artery stenosis) | - ตามัว - ปวดหรือเวียนศีรษะ ชัก อัมพาต - ชีพจรเบาหรือคลำไม่ได้ - ฟังได้เสียงฟู่ตามหลอดเลือดแดงในทรวงอกหรือช่องท้อง | - Aortography - ESR |
โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic kidney disease) | - คลำได้ก้อนในท้องส่วนบน 2 ข้าง | อัลตราซาวด์ไต |
โรคไตอื่น ๆ | - ปัสสาวะเป็นเลือด - หนังตาบวม ปัสสาวะออกน้อย น้ำหนักตัวเพิ่ม - ซีด ผิวแห้งและคล้ำ - ไข้ ปวดเอวด้านหลัง อาเจียน | ตรวจ serum creatinine และปัสสาวะ |
โรคของต่อมไทรอยด์ (ทั้งที่เป็นพิษและขาดฮอร์โมน) | - หัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ - ขี้ร้อนหรือขี้หนาว - ท้องเสียหรือท้องผูก - รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มามาก หรือขาดหายไป | ตรวจระดับของ TSH และการทำงานของต่อมไทรอยด์ |
โรค Primary aldosteronism | - กล้ามเนื้อต้นแขน ต้นขา หรือต้นคออ่อนแรง - ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ เป็นตะคริวบ่อย | - ระดับโปแตสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) - ตรวจระดับฮอร์โมน Renin และ Aldosterone เพื่อคำนวณ aldosterone/renin ratio |
ภาวะ Obstructive sleep apnea | - อ้วน - นอนกรน - เหงาหลับในตอนกลางวัน - ถ้าเฝ้าดูตอนหลับจะพบช่วงเวลาที่หยุดหายใจ | - Polysomnography (sleep study) - Sleep Apnea Clinical Score with nighttime pulse oximetry |
Pheochromocytoma | - หน้าแดง ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก - ปวดศีรษะ ตามัว - ความดันโลหิตสูงเป็นพัก ๆ - ความดันลดจนหน้ามืดขณะยืนขึ้น (Orthostatic hypotension) - เป็นลมบ่อย | - 24-hour urinary fractionated metanephrines - Plasma free metanephrines |
Cushing's syndrome | ผู้ป่วยจะมีรูปร่างหน้าตาแบบเฉพาะ คือ หน้ากลม (Moon facies), ไหล่หนา (Buffalo hump), อ้วนบริเวณลำตัวแต่แขนขาลีบ (Central obesity), หน้าท้องลาย (Striae) | - 24-hour urinary cortisol - Late-night salivary cortisol - Low-dose dexamethasone suppression test |
ผู้ที่ได้เคยรับการตรวจพิเศษเหล่านี้มาแล้วและไม่พบความผิดปกติก็ควรจะแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนด้วย
ไม่ว่าจะพบหรือไม่พบสาเหตุ หากมีความดันโลหิตสูงขณะพักอยู่ตลอดเวลาแน่ชัดแล้ว แพทย์จะประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจมีจากภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรังด้วย โดยส่งให้จักษุแพทย์ตรวจเส้นเลือดที่จอตา ตรวจเลือดและปัสสาวะดูการทำงานของไต เอกซเรย์ทรวงอกดูขนาดของหัวใจ หากผลตรวจขั้นต้นสงสัยว่าอาจมีพยาธิสภาพก็จะส่งตรวจพิเศษเพิ่มต่อไป
แนวทางการรักษา
การรักษาขึ้นกับสาเหตุ หากตรวจไม่พบสาเหตุหรือเป็นสาเหตุที่แก้ไม่ได้ถึงค่อยเริ่มยาควบคุมความดัน เว้นแต่ว่าความดันโลหิตนั้นสูงมากจนเสี่ยงที่จะเกิดเส้นเลือดสมองแตก จึงจะให้ยาลดความดันควบคู่ไปด้วยในระหว่างที่รักษาสาเหตุ
ในแง่ของผู้ป่วย วิธีปฏิบัติตัวเมื่อมีความดันโลหิตสูงไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตามคือ
- งดอาหารที่มีรสเค็ม เช่น ไข่เค็ม กะปิ เต้าเจี้ยว หมูเค็ม ปรุงอาหารด้วยเกลือหรือน้ำปลาให้น้อยที่สุด เพราะอาหารรสเค็มมีเกลือโซเดียม ซึ่งเมื่อดูดซึมเข้าสู่ระบบเลือดจะดูดน้ำเข้ามาในหลอดเลือดมาก ทำให้แรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้นและหัวใจต้องทำงานหนัก
- ลดอาหารมันทุกชนิด เช่น ของทอด แกงที่มีกะทิหรือน้ำมันเป็นส่วนประกอบมาก เพราะอาหารเหล่านี้จะเสริมภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดของภาวะความดันโลหิตสูงให้เกิดง่ายขึ้น
- ควบคุมน้ำหนัก ไม่ควรมีดัชนีมวลกายเกิน 25 (คำนวณจาก น้ำหนักเป็นกิโลกรัม / ส่วนสูงเป็นเมตร2) โดยรับประทานผักและผลไม้ให้มากแทนอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล
- งดบุหรี่ เหล้า เบียร์
- ควบคุมอารมณ์ หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้อารมณ์เสีย หงุดหงิด โมโห ทุกสิ่งถ้ามองบางมุมก็ขำได้ และอาจเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในสถานการณ์นั้น
- ออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ โดยเริ่มทีละน้อย และค่อย ๆ เพิ่มขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดและทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงดึง ดัน กลั้นหายใจ หรือเบ่ง เช่น ชักเย่อ ยกน้ำหนัก เป็นต้น
- สตรีที่มีความดันโลหิตสูงจากยาคุมกำเนิดควรหยุดยา และปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมต่อไป
- รับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำและมาตรวจให้ตรงตามนัด
ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตไว้สำหรับตรวจสอบความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน แล้วจดบันทึกไว้เป็นระยะ ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการติดตามการรักษาเป็นอย่างมาก
บรรณานุกรม
- Richard E. Klabunde. 2016. "Mean Arterial Pressure." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Cardiovascular Physiology Concepts. (5 มิถุนายน 2563).
- Willie Lawrence. 2017. "New guidelines broaden definition of hypertension." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Healio.com. (5 มิถุนายน 2563).
- Lesley Charles, et al. 2017. "Secondary Hypertension: Discovering the Underlying Cause." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. 2017 Oct 1;96(7):453-461. (5 มิถุนายน 2563).