รอบเดือนไม่สม่ำเสมอ (Irregular menstrual bleeding)
อาการนี้กินความค่อนข้างกว้าง โดยทั่วไปหมายถึงสตรีที่มีรอบเดือนอยู่เรื่อย ๆ แต่ช่วงห่างของแต่ละรอบต่างกันเกิน 20 วันขึ้นไป เช่น บางเดือนอาจมามากกว่าหนึ่งครั้ง แล้วหายไปอีกหลายเดือน หรือเว้นไป 2–3 เดือนจึงจะมาอีกครั้ง แม้โดยมากไม่ใช่สัญญาณของโรคร้ายแรง แต่หากปริมาณและจำนวนวันผิดปกติด้วยก็ควรเข้ารับการตรวจหาสาเหตุ
เลือดออกกะปริดกะปรอยช่วงกลางรอบเดือนมักเกิดจากการตกไข่ ในช่วงนั้นฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงเล็กน้อย ทำให้เยื่อบุมดลูกลอกตัวบางส่วน จึงมีเลือดออกได้ แต่จะเป็นเพียง 1–2 วัน แล้วระดับฮอร์โมนจะกลับสูงขึ้นตามปกติ
รอบเดือนที่ค่อย ๆ ห่างออก แต่ปริมาณเลือดยังปกติ มักเกิดจากภาวะ “ไม่ตกไข่” (anovulation) แม้พบได้บ่อยในวัยรุ่นหรือผู้หญิงอายุน้อย แต่ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ก็สามารถพบได้เป็นช่วง ๆ เช่นกัน หากเป็นเรื้อรังหลายปีอาจทำให้มีบุตรยาก สาเหตุที่ทำให้ไข่ไม่ตก ได้แก่
- ความเครียด ซึ่งกดการหลั่ง GnRH จากไฮโปธาลามัสที่กระตุ้นการตกไข่
- ร่างกายอ้วนหรือผอมเกินไป ทำให้ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองลดลง
- ออกกำลังกายหนักเกินไป ส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมน
- นอนน้อย หรือมีการเปลี่ยนกะทำงานบ่อย
- สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือบริโภคคาเฟอีนมาก
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคต่อมใต้สมอง เนื้องอกที่หลั่งโปรแลคติน รวมถึงโรคเรื้อรังอื่น ๆ
- ใช้ยาบางชนิด เช่น Phenothiazines, Tricyclic antidepressants, Metoclopramide, Antipsychotics, Morphine, Dextroamphetamine, Alpha-methyldopa, Verapamil, Cimetidine และยาฮอร์โมนบางประเภท
อย่างไรก็ตาม ความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก การแท้งระยะแรก เนื้องอกมดลูก กลุ่มอาการถุงน้ำที่รังไข่ (Polycystic ovarian syndrome) หรือภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย (Primary ovarian insufficiency) ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องตรวจและรักษา
นอกจากนี้ ยังมี 4 ช่วงชีวิตที่อาจมีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอจากการไม่ตกไข่ได้ ได้แก่ วัยเริ่มมีประจำเดือน วัยใกล้หมดประจำเดือน ช่วงหลังคลอดที่ยังให้นมบุตร และช่วง 6 เดือนแรกหลังหยุดยาคุมกำเนิด
แนวทางการวินิจฉัย
แพทย์จะประเมินก่อนว่าความไม่สม่ำเสมออยู่ในช่วงที่ถือว่าปกติหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการบันทึกวันมีประจำเดือนอย่างน้อย 3 รอบ ผู้หญิงจึงควรมีปฏิทินรอบเดือนของตนเองเสมอ จากนั้นแพทย์จะสอบถามรูปแบบการใช้ชีวิต อาชีพ พฤติกรรมการกิน นอน การมีกิจกรรมทางเพศ โรคประจำตัว การใช้ยา รวมถึงประวัติโรคเลือดหรือโรคฮอร์โมนในครอบครัว
ควรแจ้งแพทย์หากมีอาการที่เข้ากับโรคต่าง ๆ เช่น อาการของโรคไทรอยด์ (ขี้หนาว–ขี้ร้อน เฉื่อยชา ใจสั่น ตาโปน) อาการของโรคต่อมใต้สมอง (ปวดศีรษะ เห็นภาพซ้อน มีน้ำนมไหลผิดปกติ) อาการของกลุ่มถุงน้ำรังไข่ (ขนดก ผมร่วง สิวมาก) หรือมีปัจจัยที่เสี่ยงทำให้รังไข่เสื่อมก่อนวัย เช่น เคยฉายรังสี เคมีบำบัด การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรือเคยผ่าตัดรังไข่/ท่อนำไข่
ในการตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจน้ำหนัก ชีพจร ดูว่ามีภาวะซีด จ้ำเลือด หรือมีก้อนในช่องท้องหรือไม่ พร้อมประเมินสภาพผิวและกายภาพโดยรวม ก่อนพิจารณาการตรวจภายใน สำหรับวัยรุ่นที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์อาจเลือกตรวจอัลตราซาวด์อุ้งเชิงกรานแทน
การตรวจภายในมีความสำคัญ เพราะช่วยประเมินความผิดปกติของโครงสร้าง เช่น เนื้องอก การอักเสบ ถุงน้ำ การตั้งครรภ์ และยังสามารถเก็บชิ้นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อตรวจระดับเซลล์ได้ โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุเกิน 35 ปีที่มีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกมากขึ้น
การตรวจเลือดอาจประกอบด้วย FSH, LH, TSH, Prolactin และ Testosterone (เมื่อสงสัยภาวะ Polycystic ovarian syndrome) ตรวจระดับน้ำตาล เลือดดูการทำงานของตับ ไต ตรวจปัสสาวะเพื่อดูการตั้งครรภ์ และตรวจอื่น ๆ ตามข้อบ่งชี้จากประวัติและผลตรวจร่างกาย
หากผลตรวจทุกอย่างปกติ และไม่ได้ตั้งครรภ์ แพทย์อาจให้รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้เยื่อบุมดลูกหนาตัว แล้วหยุดยาเพื่อดูว่ามีประจำเดือนมาไหม หากมาปกติ แสดงว่ามดลูกยังตอบสนองได้ดี
สรุป
รอบเดือนไม่สม่ำเสมอพบได้บ่อยและส่วนใหญ่ไม่ใช่สัญญาณอันตราย แต่ก็อาจสะท้อนถึงความผิดปกติของฮอร์โมน การไม่ตกไข่ ภาวะเครียด โรคประจำตัว หรือโรคของรังไข่และมดลูกได้ การบันทึกรอบเดือนอย่างสม่ำเสมอ การสังเกตอาการของตน และเข้ารับการประเมินโดยแพทย์เมื่อมีความผิดปกติ จะช่วยให้วินิจฉัยสาเหตุได้รวดเร็วและดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสม