ม้ามโต (Splenomegaly)
ม้ามเป็นอวัยวะสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่คล้ายต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่ ซ่อนตัวอยู่ในช่องท้องส่วนบนด้านซ้าย ใต้กระบังลม หลังกระเพาะอาหาร มีความยาวเฉลี่ยประมาณ 11 ซม. ในภาวะปกติจะคลำไม่พบ แต่หากม้ามโตจนปลายล่างยื่นพ้นชายโครงลงมา แพทย์อาจคลำพบ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสได้ถึงร่องหรือหยักเฉพาะตัวบริเวณขอบหน้าของม้าม
ส่วนใหญ่ภาวะม้ามโตไม่ทำให้เกิดอาการ แต่หากโตมาก ผู้ป่วยอาจรู้สึกอึดอัดแน่นบริเวณชายโครงซ้าย และอาจเกิดภาวะที่ม้ามทำลายเม็ดเลือดเพิ่มขึ้นจนทำให้ซีด เกล็ดเลือดต่ำ และมีเลือดออกง่าย
สาเหตุของม้ามโต
เนื่องจากม้ามมีบทบาทในการกำจัดเม็ดเลือดที่หมดอายุหรือผิดรูป รวมถึงกำจัดเชื้อโรคในกระแสเลือด โรคที่ทำให้มีเม็ดเลือดผิดปกติหรือมีการติดเชื้อเรื้อรังจึงทำให้ม้ามทำงานหนักและโตขึ้น สาเหตุแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ภาวะที่เลือดดำจากม้ามไหลกลับหัวใจไม่สะดวก
เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว, โรคตับแข็งที่มีความดันในเส้นเลือดดำพอร์ทัลสูง (portal hypertension) ภาวะเหล่านี้ทำให้ม้ามบวมน้ำ (congestion) แต่ส่วนใหญ่ไม่ทำให้ม้ามโตขึ้นมาก ผู้ป่วยมักมีอาการบวมตามที่อื่น ๆ หรืออาการของโรคตับแข็ง (ตาเหลือง ท้องมาน) ให้เห็นด้วย
2. ภาวะที่ม้ามทำงานมากขึ้น
- จากโรคติดเชื้อเรื้อรัง: เช่น โมโนนิวคลิโอซิส, มาลาเรีย, วัณโรค, เอดส์, ลิชมาเนียซิส, เยื่อบุหัวใจติดเชื้อแบคทีเรีย, บรูเซลโลซิส, ท็อกโซพลาสโมซิส, ซิฟิลิส เป็นต้น
- จากโรคเลือด: เช่น ธาลัสซีเมีย, โรคเม็ดเลือดแตกง่าย (hemolytic diseases), มะเร็งเม็ดเลือด และโรคมะเร็งไขกระดูกต่าง ๆ
กลุ่มนี้ทำให้ม้ามโตได้มาก และมักพบร่วมกับตับโต ไข้ ซีด อ่อนเพลีย หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่อื่นโตด้วย
3. โรคที่มีการอักเสบโดยทั่วไป
เช่น โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ (SLE, RA)
4. โรคที่มีการสะสมสารผิดปกติที่ม้าม
เช่น Amyloidosis, Sarcoidosis, Gaucher’s disease, Niemann–Pick disease
5. เนื้องอกของระบบน้ำเหลือง
เช่น Lymphoma, Lymphangioma
แนวทางการวินิจฉัย
เมื่อแพทย์ตรวจพบม้ามโต จำเป็นต้องตรวจเลือดอย่างละเอียด รวมถึงพิจารณาอัลตราซาวด์หรือซีทีสแกน เพื่อตรวจดูว่ามีตับหรือต่อมน้ำเหลืองโตด้วยหรือไม่ ประวัติและอาการร่วมช่วยจำกัดสาเหตุได้ดี เช่น
- ม้ามโตร่วมกับมีไข้ → อาจเป็นโรคติดเชื้อ, Sarcoidosis, มะเร็ง
- ม้ามโตร่วมกับต่อมน้ำเหลืองโต → Glandular fever, Leukemia, Lymphoma, Sjögren's syndrome
- ม้ามโตร่วมกับจุดเลือดออกหรือจ้ำเลือด → การติดเชื้อในกระแสเลือด, ไข้ไทฟัส, Weil’s disease, Amyloidosis, Meningococcemia, Leukemia
- ม้ามโตร่วมกับข้ออักเสบ → RA, SLE, Lyme, vasculitis ต่าง ๆ, Sjögren's syndrome
- ม้ามโตร่วมกับท้องมาน → มะเร็งตับ, โรคตับแข็งที่มี portal hypertension
- ม้ามโตร่วมกับเสียงฟู่ที่หัวใจ → โรคไข้รูห์มาติก, SBE, Hypereosinophilia, Amyloidosis
- ม้ามโตร่วมกับโลหิตจาง → ธาลัสซีเมีย, Pernicious anemia, Leukemia, ลิชมาเนียซิส
- ม้ามโตร่วมกับน้ำหนักลดและอาการทางระบบประสาท → มะเร็ง, Lymphoma, Paraproteinemia, วัณโรค, พิษสารหนู
- ม้ามที่โตมากผิดปกติ → ธาลัสซีเมีย, มาลาเรียเรื้อรัง, Myelofibrosis, CML, Gaucher's syndrome, ลิชมาเนียซิส
หากตรวจหลายอย่างแล้วยังหาสาเหตุไม่ได้ อาจต้องตรวจชิ้นเนื้อไขกระดูกเพิ่มเติม
ภาวะแทรกซ้อนของม้ามโต
ม้ามที่โตมากอาจเกิดภาวะ Hypersplenism คือม้ามทำลายเม็ดเลือดมากผิดปกติ ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ทำให้เกิดภาวะ pancytopenia ผู้ป่วยอ่อนเพลีย ติดเชื้อได้ง่าย และเลือดออกง่าย
นอกจากนี้ ม้ามที่โตมากยังเสี่ยงแตกเมื่อได้รับแรงกระแทก ซึ่งทำให้เลือดออกภายในช่องท้องจำนวนมาก เป็นภาวะอันตรายถึงชีวิตได้
การป้องกัน
ม้ามโตมักเกิดจากโรคพื้นฐาน หากเป็นโรคที่รักษาไม่ได้และต้องให้เลือดบ่อย ม้ามจะทำงานหนักขึ้นและยิ่งโตขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก และคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในรถ
เมื่อผลเลือดเริ่มแสดงภาวะ pancytopenia แพทย์อาจพิจารณาตัดม้ามเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมา
การปฏิบัติตัวหลังตัดม้ามออกแล้ว
ผู้ที่ถูกตัดม้ามจะเสี่ยงติดเชื้อบางชนิดได้ง่าย จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ฉีดวัคซีน Pneumovax และ Hib ก่อนและหลังผ่าตัด และฉีด Pneumovax ซ้ำทุก 5 ปี
- รับยาปฏิชีวนะทุกครั้งหลังการผ่าตัดทุกชนิด รวมถึงการถอนฟัน
- พบแพทย์ทุกครั้งที่มีไข้ และรับยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่เสี่ยงโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ดงมาลาเรียตามชายแดน
- ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี และรับวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนทุก 10 ปี รวมถึงวัคซีนอื่นตามแพทย์แนะนำ
สรุป
ม้ามโตเป็นอาการที่เกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่โรคติดเชื้อ โรคเลือด โรคตับ ไปจนถึงเนื้องอกและโรคสะสมสารผิดปกติ การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตรวจร่างกาย ประวัติ อาการร่วม และการตรวจเลือดหรือภาพถ่ายรังสีอย่างรอบด้าน แม้หลายกรณีจะไม่มีอาการชัดเจน แต่หากโตมากอาจเกิดภาวะ Hypersplenism หรือเสี่ยงม้ามแตกได้ การดูแลรักษาขึ้นอยู่กับโรคต้นเหตุ และในกรณีที่มีภาวะเม็ดเลือดต่ำมากหรือภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจพิจารณาตัดม้าม ทั้งนี้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อและรับวัคซีนตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด