อาการหลั่งช้า (Delayed ejaculation)

การหลั่งช้า (Delayed Ejaculation) คือภาวะที่ผู้ชายต้องใช้เวลานานผิดปกติ หรือพบความยากลำบากในการไปถึงจุดที่เกิดการหลั่ง ทั้งที่มีการตอบสนองทางเพศอื่นอยู่ในระดับปกติ ในบางรายอาจไม่สามารถหลั่งได้เลย ซึ่งเรียกว่า การหลั่งไม่ได้ (Anejaculation) ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือเป็นเรื้อรัง และอาจสัมพันธ์กับโรคทางกาย การทำงานของระบบประสาท ยา การผ่าตัด รวมถึงปัจจัยทางจิตใจและความสัมพันธ์

ภาวะการหลั่งช้าพบได้น้อยกว่าภาวะหลั่งเร็ว มีรายงานว่าพบได้ประมาณ 1–4% ของผู้ชายในวัยผู้ใหญ่ และความชุกจะเพิ่มขึ้นในผู้ที่มีโรคเรื้อรังทางระบบประสาท โรคเบาหวาน หรือผู้ที่ใช้ยาบางกลุ่ม การหลั่งไม่ได้พบได้ยิ่งน้อยกว่า แต่สำคัญในการประเมินผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบประสาทหรือมีประวัติการผ่าตัดกระดูกสันหลัง/อุ้งเชิงกราน

สาเหตุ

  1. สาเหตุทางกาย (Organic Causes)
    • ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง เส้นประสาทส่วนปลายผิดปกติ ภาวะบาดเจ็บไขสันหลัง
    • โรคของระบบต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี ฮอร์โมนเพศชายต่ำ ภาวะพร่องไทรอยด์
    • ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาต้านเศร้า (SSRIs, SNRIs, TCAs), ยาต้านอาการทางจิต, ยาลดความดันบางชนิด, ยาขับปัสสาวะ, หรือยาแก้ปวดบางประเภท
    • ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต่อมลูกหมาก อุ้งเชิงกราน หรือกระดูกสันหลัง
    • การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือใช้สารเสพติดบางชนิด
    • ความผิดปกติของทางเดินน้ำอสุจิหรืออวัยวะสืบพันธุ์
    • อ่อนเพลียหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
  2. สาเหตุทางจิตใจและพฤติกรรม (Psychogenic and Behavioral Causes)
    • ความวิตกกังวล ความเครียดเรื้อรัง หรือภาวะซึมเศร้า
    • ความรู้สึกผิดเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ เช่น ค่านิยมจากการเลี้ยงดู
    • ปัญหาความสัมพันธ์หรือการสื่อสารกับคู่นอน
    • ความกลัว เช่น กลัวการตั้งครรภ์ กลัวโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • ประสบการณ์ด้านเพศที่สร้างความกดดันในอดีต
    • พฤติกรรมด้านเพศที่ส่งผลต่อรูปแบบการตอบสนอง เช่น การเสพสื่อลามกมากเกินไป หรือการช่วยตัวเองด้วยเทคนิคเฉพาะจนร่างกายคุ้นเคยรูปแบบเดียว

แนวทางการวินิจฉัย

ต้องประเมินทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และบริบทชีวิต โดยแพทย์มักดำเนินการดังนี้:

  • ซักประวัติอาการ ระยะเวลาที่มีปัญหา และระดับความยากลำบากในการหลั่ง
  • ประเมินความเครียด ภาวะอารมณ์ และความสัมพันธ์กับคู่
  • ตรวจร่างกายเพื่อหาความผิดปกติ เช่น เบาหวาน ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ
  • ทบทวนรายการยาที่ใช้อยู่ โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อระบบประสาท
  • ตรวจเลือดหากจำเป็น เช่น ฮอร์โมนเพศชาย น้ำตาลในเลือด ระดับไทรอยด์
  • การตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวนด์ระบบสืบพันธุ์ (เฉพาะในกรณีจำเป็น)


แนวทางการรักษา

1. การรักษาสาเหตุทางกาย

  • พิจารณาปรับยาที่เป็นสาเหตุ (ภายใต้การดูแลแพทย์)
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือภาวะฮอร์โมนผิดปกติ
  • รักษาโรคระบบประสาทตามข้อบ่งชี้เฉพาะโรค
  • ลดหรือหยุดสารเสพติด บุหรี่ และแอลกอฮอล์

2. การให้คำปรึกษาและการบำบัดทางจิตวิทยา

  • บำบัดเพื่อลดความวิตกกังวลหรือความเครียด
  • เสริมทักษะการสื่อสารในความสัมพันธ์
  • สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้านสุขภาพเพศ

3. การฝึกพฤติกรรม (Behavioral Interventions)

  • เทคนิคหยุด-เริ่มใหม่ เพื่อปรับรูปแบบการรับรู้และลดแรงกดดันในการถึงจุดสุดยอด
  • ฝึกสติและการผ่อนคลายเพื่อลดความเกร็งหรือความคาดหวังมากเกินไป
  • ปรับรูปแบบการกระตุ้นทางเพศให้หลากหลาย ลดการผูกติดกับรูปแบบเฉพาะ

4. การใช้ยา (เมื่อมีข้อบ่งชี้)

การใช้ยาจะพิจารณาเฉพาะเมื่อเกิดจากสาเหตุเฉพาะ หรือหลังการรักษาวิธีอื่นไม่เพียงพอ โดยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์

  • ยาปรับสมดุลสารสื่อประสาท เช่น บูโพรพิออน (Bupropion) อาจช่วยในกรณีที่เกิดจากผลของยาต้านเศร้า
  • ยากระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก เช่น ยาในกลุ่มอะดรีเนอร์จิก (pseudoephedrine) ใช้ในบางกรณีที่มีภาวะหลั่งย้อนกลับ
  • ฮอร์โมนทดแทน เช่น ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ใช้เฉพาะผู้ที่มีระดับต่ำกว่าปกติจริง
  • อแมนทาดีน (Amantadine) หรือ ไซโปรเฮปตาดีน (Cyproheptadine) อาจใช้ในผู้ที่มีภาวะหลั่งช้าจากยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs (off-label)

5. การรักษาร่วมหลายวิธี (Combination Therapy)

ในหลายกรณีจำเป็นต้องผสมผสานหลายแนวทาง เช่น การปรับยา ร่วมกับการบำบัดด้านอารมณ์ และการฝึกพฤติกรรม เพื่อแก้ไขปัจจัยร่วมทั้งหมดและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา

สรุป

ภาวะการหลั่งช้าและการหลั่งไม่ได้สามารถเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งโรคทางกาย ระบบประสาท ผลข้างเคียงจากยา ภาวะอารมณ์ และปัจจัยด้านความสัมพันธ์ การรักษาจึงต้องประเมินแบบองค์รวมและออกแบบให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยให้ระบุสาเหตุได้ชัดเจนและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด