เจ็บหู (Earache)
เจ็บหู (earache หรือ otalgia) คือความเจ็บปวดหรือความไม่สบายบริเวณหู ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของหูโดยตรง หรือเกิดจากอวัยวะอื่นที่ส่งต่อความเจ็บปวดมาที่หู เช่น ฟัน คอ หรือขากรรไกร ทำให้รู้สึกเหมือนปวดต้นกำเนิดจากหู
อาการเจ็บหูพบได้บ่อยในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ อาจปวดข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ลักษณะอาการอาจเป็นปวดตื้อ ๆ เจ็บแปลบ หรือแสบร้อน โดยทั่วไปอาการมักค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
อาการเตือนที่ควรพบแพทย์ทันที
- ปวดรุนแรงและไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน แม้รับประทานพาราเซตามอลแล้ว
- มีไข้ร่วมกับอาการปวดหู
- มีของเหลวไหลออกจากหู เช่น หนอง เลือด หรือของเหลวใส
- ปวดหูร่วมกับเจ็บคอ กลืนลำบาก หรือขยับกรามได้ลำบาก
- การได้ยินลดลง หรือสูญเสียการได้ยิน
- ปวดเรื้อรังหรือเป็นซ้ำบ่อย (เช่น มากกว่า 3 ครั้งใน 6 เดือน หรือ 4 ครั้งใน 1 ปี)
- ใบหน้าชา หน้าเบี้ยว หรือมีอาการเวียนศีรษะร่วม
สาเหตุของอาการเจ็บหู
- โรคของหู
- หูชั้นนอก:
- การบาดเจ็บของใบหู ช่องหูชั้นนอก หรือเยื่อแก้วหู มักเกิดจากการแคะหู
- หูชั้นนอกอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง — มักเกิดจากความชื้น สารแปลกปลอม หรือการติดเชื้อ
- ฝีในช่องหูชั้นนอก
- เยื่อบุแก้วหูอักเสบ
- เนื้องอกของใบหูหรือช่องหูชั้นนอก
- การอักเสบของกระดูกอ่อนใบหู (perichondritis)
- หูชั้นกลาง:
มดันอากาศ (barotrauma) ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออก
- ท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดแรงดันลบในหูชั้นกลาง
- หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง — พบบ่อยในเด็ก มักเกิดหลังเป็นหวัดหรือการติดเชื้อทางเดินหายใจ *
- โพรงอากาศมาสตอยด์อักเสบเฉียบพลัน
- ฝีของโพรงอากาศมาสตอยด์
- เนื้องอกในหูชั้นกลางหรือโพรงมาสตอยด์
- หูชั้นใน: อาจมีเสียงดังในหูหรือการได้ยินลดลง
- การบาดเจ็บของหูชั้นใน
- หูชั้นในอักเสบ (labyrinthitis)
- เนื้องอกของประสาทการทรงตัว เช่น acoustic neuroma
- โรคของอวัยวะอื่น ที่ทำให้ปวดร้าวมาที่หู เนื่องจากหูได้รับเส้นประสาทจากสมองคู่ที่ 5, 7, 9, 10 และเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอช่วงบน
- จากประสาทสมองคู่ที่ 5:
- โรคของจมูกหรือไซนัส
- หลังการตัดต่อมอดีนอยด์
- เนื้องอกของโพรงหลังจมูก
- โรคเหงือก ฟัน และขากรรไกร
- โรคของต่อมน้ำลาย
- รอยโรคในช่องปากและลิ้นด้านหน้า
- หลอดเลือดขมับอักเสบ (temporal arteritis)
- เนื้องอกของเส้นประสาทคู่ที่ 5 (schwannoma)
- เส้นประสาทไวผิดปกติ (trigeminal หรือ sphenopalatine neuralgia)
- จากประสาทสมองคู่ที่ 7:
- การบาดเจ็บของเส้นประสาท
- เนื้องอกของประสาทสมองคู่ที่ 7
- การอักเสบติดเชื้อจากไวรัส เช่น Ramsay-Hunt syndrome
- อัมพาตใบหน้า (Bell’s palsy)
- จากประสาทสมองคู่ที่ 9 และ 10:
- การบาดเจ็บ การติดเชื้อ หรือเนื้องอกของคอหอย ทอนซิล หรือกล่องเสียง
- โรคของหลอดอาหาร
- เส้นประสาทไวผิดปกติ (glossopharyngeal neuralgia)
- จากประสาทไขสันหลังส่วนคอช่วงบน:
- การบาดเจ็บ การติดเชื้อ หรือเนื้องอกของกระดูกคอ กล้ามเนื้อ หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ
- โรคของหลอดอาหาร
- เส้นประสาทไวผิดปกติ (glossopharyngeal neuralgia)
* ปัจจัยเสี่ยงของหูชั้นกลางอักเสบ (AOM) ในเด็กเล็ก
- อายุน้อยกว่า 2 ปี
- อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก (day-care)
- สัมผัสควันบุหรี่
- ให้นมขวดในท่านอน
- มีโรคภูมิแพ้หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจซ้ำ ๆ
- ว่ายน้ำบ่อยหรือช่องหูอับชื้น
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
แพทย์เริ่มจากการซักประวัติ เช่น ลักษณะอาการปวด ระยะเวลา อาการร่วม (ไข้ น้ำไหลจากหู การได้ยินลดลง) ก่อนตรวจสภาวะหูด้วย otoscope เพื่อดูเยื่อแก้วหูและช่องหู หากสงสัยสาเหตุที่ไม่ใช่จากหู อาจตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจฟัน คอ หรือต่อมน้ำเหลือง
หากเป็นหูชั้นนอกอักเสบ มักเจ็บเมื่อดึงใบหูหรือกด tragus พบช่องหูแดงหรือมีหนอง สำหรับหูชั้นกลางอักเสบ เยื่อแก้วหูมักแดง บวม หรือปูด หากเจ็บร้าวจากฟันหรือช่องปาก อาจตรวจพบฟันผุ รากฟันอักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ ส่วนอาการปวดจากขากรรไกร มักเจ็บมากขึ้นขณะเคี้ยว
การตรวจเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น
- Tympanometry หรือ audiometry เมื่อสงสัยมีน้ำในหูหรือการได้ยินผิดปกติเรื้อรัง
- การเพาะเชื้อจากหนอง เมื่อมีการไหลจากหูหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา
- การถ่ายภาพ CT/MRI เมื่อสงสัยภาวะแทรกซ้อน เช่น mastoiditis หรือรอยโรคของศีรษะ/คอ
แนวทางการรักษา
การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเป็น AOM ในเด็กหรือผู้ใหญ่ บางกรณีอาจเฝ้าดูอาการร่วมกับการใช้ยาลดปวด แต่หากมีอาการรุนแรงหรือมีข้อบ่งชี้ว่าติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะ สำหรับหูชั้นนอกอักเสบ มักรักษาด้วยยาหยอดเฉพาะที่และการทำความสะอาดช่องหูโดยผู้เชี่ยวชาญ
สรุป
อาการเจ็บหูเป็นอาการที่พบได้บ่อยและมีสาเหตุหลายประการ ตั้งแต่ปัญหาในหูโดยตรงไปจนถึงอวัยวะอื่นที่ส่งอาการปวดมาที่หู การประเมินประวัติและการส่องหูอย่างเหมาะสมช่วยให้วินิจฉัยได้ถูกต้อง การรักษามักทำได้ง่ายและอาการส่วนใหญ่ดีขึ้นเอง แต่หากมีอาการรุนแรง มีไข้ ของเหลวไหลออกจากหู หรือการได้ยินลดลง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและดูแลอย่างถูกต้อง