ปัญหาการให้นม (Feeding problems)
การให้นมทารกเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งต่อโภชนาการ การเจริญเติบโต และสายสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่จำนวนมากพบปัญหาเกี่ยวกับการให้นม ทั้งการให้นมแม่และการใช้นมผงจากขวด บทความนี้รวบรวมปัญหาที่พบบ่อย สาเหตุที่อาจเกิดขึ้น และแนวทางการแก้ไขอย่างเป็นขั้นตอน
1. ลูกไม่ยอมดูดนม
สาเหตุที่เป็นไปได้:
- ท่าทางการอุ้มไม่ถูกต้อง ทำให้ลูกจับเต้าได้ไม่ลึก
- หัวนมสั้นหรือบอด ทำให้ดูดจับได้ยาก
- ลูกง่วงหรืออ่อนแรงจากการหิวเกินไป
- ป่วย เช่น คัดจมูก เจ็บคอ มีแผลในปาก
- เปลี่ยนจากเต้าสู่ขวดเร็วเกินไป ทำให้สับสนหัวนม
แนวทางแก้ไข:
- ปรับท่าจับลูกให้ลำตัวเอียงเข้าหาเต้า ปากอมลานนมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะหัวนม
- บีบลานนมนุ่ม ๆ ก่อนให้ลูกจับ เพื่อให้จับได้ง่ายขึ้น
- ปลุกให้ตื่นเล็กน้อยก่อนให้นม เช่น ถูแก้ม เปลี่ยนผ้าอ้อม
- ถ้าจมูกตัน ให้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก่อน
- หากสับสนหัวนม ให้ลดการใช้ขวดชั่วคราว และใช้ช้อน ถ้วย หรือไซริงก์แทนในช่วงสั้น ๆ
2. ลูกอยากดูดนมตลอดเวลา (Cluster Feeding)
สาเหตุที่เป็นไปได้:
- เป็นพฤติกรรมปกติในทารกช่วงแรก เพราะในช่วงที่กำลังโตเร็ว (growth spurt)
ลูกต้องการปริมาณน้ำนมมากขึ้น
- น้ำนมออกช้า ทำให้ลูกต้องใช้เวลานานกว่าน้ำนมจะไหล
- ดูดเพื่อความสบายและผ่อนคลาย ไม่ได้หิวจริง
แนวทางแก้ไข:
- ให้ลูกดูดเต้าอย่างถูกวิธีเพื่อกระตุ้นน้ำนมให้ไหลดีขึ้น
- ตรวจว่ามีอาการลิ้นติด (Tongue-tie) หรือไม่ เพราะทำให้ดูดได้น้อย
- หากต้องการปลอบโดยไม่ให้นม ให้ใช้การอุ้มผ่อนคลาย ห่อตัว หรือใช้จุกเสริม (เฉพาะเมื่อการกินนมดีแล้ว)
3. ลูกกัดหัวนม
สาเหตุ:
- ฟันเริ่มขึ้น ทำให้เหงือกคัน
- ลูกเบื่อหรือไม่ได้หิว แต่ยังอยู่ที่เต้า
- การเข้าเต้าไม่ถูกต้อง ทำให้ขากรรไกรบีบหัวนมมากเกินไป
วิธีแก้ไข:
- เบี่ยงความสนใจด้วยยางกัดก่อนให้นม
- เมื่อเริ่มกัด ให้หยุดดูดเบา ๆ โดยใช้นิ้วสอดที่มุมปากเพื่อตัดสูญญากาศ
- ปรับท่าเข้าเต้าให้ลึกขึ้น
4. ลูกหลับเวลาที่ควรกินนม
สาเหตุ:
- ดูดเต้าไม่ลึก ทำให้น้ำนมไหลน้อย ลูกจึงหลับกลางคัน
- ปริมาณนมจากขวดไหลช้าเกินไปหรือเร็วเกินไป
- ลูกอ่อนแรง เช่น น้ำหนักตัวน้อยแรกเกิด หรือมีภาวะตัวเหลืองมาก
แนวแก้ไข:
- ปลุกโดยการลูบหลัง ถอดถุงมือ แตะฝ่าเท้า
- กระตุ้นให้ตื่นระหว่างดูด เช่น เปลี่ยนท่า สลับข้าง
- เลือกหัวจุกที่มีอัตราการไหลเหมาะสม
5. ให้นมเท่าไรจึงจะพอ
ปริมาณที่ลูกต้องการขึ้นกับอายุ น้ำหนักตัว และรูปแบบการให้นม
นมแม่ มีความยืดหยุ่นสูง ลูกสามารถกำกับปริมาณเองได้
ส่วน นมขวด ต้องระวังไม่บังคับให้กินมากเกินไป
แนวทางประเมิน:
- ลูกปัสสาวะวันละประมาณ 6–8 ครั้งหลังอายุ 1 สัปดาห์
- น้ำหนักเพิ่มตามเกณฑ์
- หลังดูดเสร็จ ลูกดูผ่อนคลาย ไม่ร้องกวนเวลาอิ่ม
- นมขวดสำหรับทารกทั่วไปอยู่ที่ 100–150 มล./กก./วัน แบ่งตามวัย
6. ลูกบ้วนนม หรือสำรอกนมบ่อย
สาเหตุ:
- กระเพาะและหูรูดส่วนล่างยังไม่แข็งแรง เป็นเรื่องปกติในทารกบางราย
- กรดไหลย้อนในทารก (แต่ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง)
- ลุกขึ้นเรอไม่เพียงพอ
- นมไหลเร็วเกินไป โดยเฉพาะนมขวด
แนวทางแก้ไข:
- อุ้มให้หัวสูงขึ้นเล็กน้อยระหว่างและหลังให้นม 20–30 นาที
- เรอทุก 5–10 นาทีระหว่างกิน
- เลือกหัวจุกที่เหมาะสม ไม่ไหลเร็วเกินไป
- แบ่งให้นมทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
7. ลูกกินนมแล้วท้องเสียเป็นประจำ
สาเหตุ:
- แพ้โปรตีนนมวัว (Cow’s milk protein allergy – CMPA) หากกินนมผสม
- แม่รับประทานอาหารบางอย่างแล้วกระตุ้นอาการแพ้ในลูก (พบได้น้อย)
- เปลี่ยนสูตรนมบ่อยทำให้ลำไส้ปรับตัวยาก
- ติดเชื้อไวรัสลำไส้ (อาจเกิดพร้อมเหนื่อย งอแง มีไข้)
แนวทางแก้ไข:
- สังเกตว่าท้องเสียหลายครั้งต่อวัน เป็นน้ำมากขึ้น มีกลิ่นผิดปกติ หรือมีมูกเลือด
- หากสงสัยแพ้โปรตีนนมวัว ควรพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนเป็นสูตรโปรตีนย่อยยากพิเศษ (Hypoallergenic)
- ไม่ควรเปลี่ยนสูตรนมเองบ่อยครั้ง
8. การให้นมในทารกปากแหว่งเพดานโหว่
ปัญหาที่พบ:
- ลูกดูดแรงสูญญากาศได้ไม่ดี ทำให้ดูดเต้าหรือดูดขวดได้ยาก
- น้ำนมไหลย้อนขึ้นจมูก ทำให้สำลักง่าย
แนวทางการให้นม:
- ในทารกปากแหว่งแบบไม่ลึก ยังอาจให้นมแม่โดยตรงได้ แต่ต้องอุ้มในท่าศีรษะสูง
- ใช้ขวดพิเศษสำหรับเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ เช่น ขวดแรงบีบ
- ป้อนนมช้า ๆ และพักให้เรอบ่อย
- ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเด็กหรือแพทย์เฉพาะทาง
สรุป
ปัญหาการให้นมทารกเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับท่าทาง
การตรวจดูวิธีจับเต้าหรือเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสม รวมถึงการสังเกตสัญญาณเตือนว่าลูกอาจมีภาวะทางการแพทย์
การเข้าใจว่าพฤติกรรมหลายอย่างเป็นเรื่องปกติของพัฒนาการ เช่น cluster feeding หรือการสำรอกเล็กน้อย
จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจและลดความกังวลได้มากขึ้น
หากอาการผิดปกติต่อเนื่อง ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม