หูดับ (Hearing loss)
อาการหูดับหรือหูหนวก (Hearing loss) หมายถึง ภาวะที่ความสามารถในการได้ยินลดลงบางส่วนหรือทั้งหมด อาจเกิดกับหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ระดับความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรงมาก ส่งผลกระทบต่อการสื่อสาร คุณภาพชีวิต การเรียนรู้ และพัฒนาการในเด็ก
ภาวะหูดับเป็นปัญหาทั่วโลก พบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมเสียงดังเป็นเวลานาน องค์การอนามัยโลกคาดว่ากว่า 5% ของประชากรโลกมีภาวะสูญเสียการได้ยินระดับที่ต้องการการดูแลรักษา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากอายุเฉลี่ยที่สูงขึ้นและการสัมผัสเสียงดังในชีวิตประจำวัน
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง
แพทย์แยกสาเหตุของอาการหูดับโดยตรวจการนำเสียง (Weber และ Rinne tuning fork test) แล้วแบ่งสาเหตุออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- การได้ยินบกพร่องแบบสื่อนำเสียง (Conductive Hearing Loss) มักเป็นข้างเดียว เช่น
- ขี้หูอุดตัน
- การติดเชื้อหูชั้นกลาง (Otitis media)
- แก้วหูทะลุ
- กระดูกหูผิดปกติ เช่น Otosclerosis
- สิ่งแปลกปลอมในช่องหู
- การได้ยินบกพร่องแบบประสาทรับเสียง (Sensorineural Hearing Loss) พบบ่อยที่สุด อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง เช่น
- หูตึงจากอายุที่มากขึ้น (Presbycusis)
- รับเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น การใช้หูฟังเสียงดัง หรือทำงานในที่ที่เสียงดังมาก
- เคยรับยาที่เป็นพิษต่อหู (Ototoxic drugs) เช่น ยากลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์
- การติดเชื้อไวรัส เช่น หัดเยอรมัน คางทูม
- โรคมีเนียร์ (Ménière’s disease)
- การบาดเจ็บศีรษะหรือประสาทหู
- โรคทางพันธุกรรม
- การได้ยินบกพร่องชนิดผสม (Mixed Hearing Loss) เช่น
- มีความผิดปกติทั้งหูชั้นกลางและหูชั้นในร่วมกัน เช่น การติดเชื้อรุนแรงหรืออุบัติเหตุ
- โรคหูน้ำหนวกเรื้อรังที่ลุกลามเข้าไปในหูชั้นใน
- โรคในหูชั้นกลางของผู้สูงอายุที่มีปัญหาประสาทรับเสียงเสื่อมด้วย
- โรคหินปูนเกาะกระดูกโกลนและมีพยาธิสภาพในหูชั้นในร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม มีผู้สูญเสียการได้ยินจำนวนไม่น้อยที่แพทย์ตรวจแล้วไม่พบสาเหตุ
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
แพทย์จะเริ่มจากการถามประวัติเหล่านี้
- เริ่มเป็นเมื่อใด เป็นเฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป
- มีเสียงรบกวนในหู (Tinnitus) เวียนศีรษะ หรือรู้สึกแน่นหูหรือไม่
- ประวัติการสัมผัสเสียงดังหรืออุบัติเหตุ
- ยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
- ประวัติการติดเชื้อหูหรือโรคทางระบบ
จากนั้นจะทำการตรวจร่างกาย ตรวจช่องหูด้วย Otoscope ตรวจการทำงานของเส้นประสาทสมอง และการทดสอบการได้ยิน ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่
- Tuning fork tests (Rinne และ Weber): ช่วยแยกชนิดของการสูญเสียการได้ยิน
- Audiometry: ตรวจระดับการได้ยินอย่างละเอียด
- Tympanometry: ประเมินแรงดันในหูชั้นกลาง การทำงานของแก้วหูและกระดูกหู
- OAE (Otoacoustic emissions): ใช้ในทารกหรือผู้ที่ทำ Audiometry ไม่ได้
- ABR (Auditory Brainstem Response): ประเมินเส้นประสาทการได้ยิน
ตารางการวินิจฉัยแยกโรคตามผลการตรวจ
| ภาวะ |
ลักษณะสำคัญ |
ผลการตรวจที่ช่วยบ่งชี้ |
| ขี้หูอุดตัน |
การได้ยินลดลงทันที เจ็บหูหรือแน่นหู |
Otoscope พบขี้หูอุดตัน Rinne negative (Conductive) |
| หูชั้นกลางอักเสบ |
ปวดหู ไข้ อาจมีน้ำหนวกไหล |
Tympanometry ผิดปกติ แก้วหูโป่งตึง |
| Otosclerosis |
ค่อย ๆ หูหนวกทีละน้อย มักเกิดในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น |
Audiogram มี Carhart notch |
| Presbycusis |
การได้ยินลดลงตามอายุ ชัดเจนเวลาได้ยินเสียงสูง |
Audiogram ความไวต่อเสียงสูงลดลง |
| Sudden sensorineural hearing loss |
หูดับเฉียบพลัน บางครั้งมีเสียงวี๊งร่วมด้วย |
Audiogram ลดลงทันที จำเป็นต้องรักษาด่วน |
| โรคมีเนียร์ |
เวียนศีรษะบ้านหมุนเป็น ๆ หาย ๆ แน่นหู และหูอื้อ |
Audiogram พบลักษณะลดลงของเสียงความถี่ต่ำ |
ภาวะที่เสียประสาทการได้ยินแบบทันทีทันใด มักพบในคนอายุน้อยถึงวัยกลางคน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส, การอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นใน, หรือเยื่อบุหูชั้นในชำรุด ลักษณะที่พบบ่อยมักเป็นในหูข้างเดียว อาจมีเสียงดังรบกวนในหูข้างนั้นและมีเวียนศีรษะร่วมด้วย อาการอาจเป็นอยู่ชั่วคราว หากได้รับการพักผ่อนมีโอกาสหายได้ อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยแยกโรคที่มีอาการคล้ายกัน
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล เช่น คอนเสิร์ต เครื่องจักรหนัก
- ใช้ที่อุดหูหรือครอบหูเมื่อจำเป็นต้องอยู่ในที่เสียงดัง
- ลดการใช้หูฟังเสียงดังเป็นเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นพิษต่อหูโดยไม่จำเป็น
- รักษาโรคหูอักเสบหรือภาวะติดเชื้อให้เร็วที่สุด
- ตรวจการได้ยินเป็นระยะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ
บทสรุป
อาการหูดับเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างมาก
สาเหตุมีตั้งแต่ปัญหาง่าย ๆ เช่น ขี้หูอุดตัน ไปจนถึงความผิดปกติของระบบประสาทการได้ยิน
การประเมินที่ถูกต้องด้วยประวัติ การตรวจร่างกาย และการทดสอบการได้ยินเฉพาะทาง
ช่วยให้ระบุสาเหตุได้ชัดเจนและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ การป้องกันโดยลดการสัมผัสเสียงดังและดูแลสุขภาพหูอย่างสม่ำเสมอ มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของการสูญเสียการได้ยินในระยะยาว