เม็ดเลือดขาวน้อย (ต่ำ) (Leukopenia)

เม็ดเลือดทั้งหมดมีต้นกำเนิดจากเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูก (stem cell) ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตต่อไปจะกลายเป็นตัวอ่อน 4 ชนิด ได้แก่

  • Megakaryoblast — ตัวอ่อนของเกล็ดเลือด
  • Erythroblast — ตัวอ่อนของเม็ดเลือดแดง
  • Myeloblast — ตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวชนิดมีนิวเคลียสเป็นหยัก
  • Lymphoblast — ตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวชนิดนิวเคลียสกลมก้อนใหญ่อันเดียว

จากการพัฒนาเหล่านี้ เม็ดเลือดขาวที่ออกสู่กระแสเลือดจึงมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่

  1. Lymphocyte มีขนาดเล็กที่สุด มีนิวเคลียสใหญ่เต็มเซลล์ แบ่งเป็น B-cell (สร้างแอนติบอดี) และ T-cell (ทำลายเซลล์ติดเชื้อหรือเซลล์ที่กลายเป็นมะเร็ง) โดยมีสัดส่วนประมาณ 20–40% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด
  2. Neutrophil มีนิวเคลียส 2–5 ก้อนเชื่อมกันด้วยสายบาง ๆ เป็น “ทัพหน้า” ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมและแบคทีเรีย นิวโตรฟิลมี half-life เพียง 7 ชั่วโมง ไขกระดูกต้องผลิตใหม่วันละหลายแสนล้านเซลล์ จึงเป็นชนิดที่พบมากที่สุดราว 40–70% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด
  3. Eosinophil มีแกรนูลสีแดงจำนวนมาก ทำงานร่วมกับลิมโฟไซต์และนิวโตรฟิลในการกำจัดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อรา ไวรัส และปรสิต อีกทั้งเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาแพ้ร่วมกับ mast cell พบในเลือด 0.5–7% แต่ส่วนใหญ่อยู่ในเนื้อเยื่อปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร
  4. Basophil มีแกรนูลสีน้ำเงินจำนวนมาก เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดเดียวที่มีฮีสตามีนและเฮพารินอยู่ภายใน จึงทำหน้าที่คล้าย mast cell กระตุ้นอาการแพ้ และยับยั้งการแข็งตัวของเลือดในบริเวณติดเชื้อ เบโซฟิลยังกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE antibody ป้องกันการติดเชื้อปรสิต ปกติมีเพียง <1% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด
  5. Monocyte เมีขนาดใหญ่ที่สุด บางส่วนพัฒนาต่อเป็น macrophage และ dendritic cells ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และเก็บกินเศษซากเซลล์ในกระแสเลือด โดยมีสัดส่วนประมาณ 2–10%


นิยามของภาวะเม็ดเลือดขาวน้อย

ช่วงค่าปกติของเม็ดเลือดขาวแตกต่างกันตามอายุและภาวะตั้งครรภ์ แต่ละสถาบันใช้ค่าปกติไม่เหมือนกัน เช่น บางแห่งใช้ช่วง 5,000–10,000 cells/μL (5–10 × 109/L) ขณะที่โรงพยาบาลศิริราชใช้ 4,400–10,300 cells/μL (4.4–10.3 × 109/L) นอกจากนี้ยังพบว่าบางคนมีเม็ดเลือดขาวเพียง 3,300 cells/μL มาตลอดชีวิตโดยไม่มีอาการ ถือเป็นความหลากหลายของร่างกายคล้ายความสูงที่ต่างกันได้

เนื่องจากเม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด การพบจำนวนรวมต่ำจึงต้องระบุว่า “ชนิดใดลดลง” ชนิดที่มีความสำคัญทางคลินิกมากที่สุดคือ นิวโตรฟิล และ ลิมโฟไซต์ ดังนั้นเมื่อพบเม็ดเลือดขาวต่ำ ต้องคำนวณจำนวนสัมบูรณ์ของสองชนิดนี้ (absolute count) เพื่อวินิจฉัยว่าเป็น neutropenia หรือ lymphopenia

Neutropenia

คือภาวะที่จำนวนนิวโตรฟิลสัมบูรณ์ (absolute neutrophil count; ANC) ต่ำกว่า 1,500 cells/μL หากต่ำกว่า 100 cells/μL จะเรียกว่า Agranulocytosis สาเหตุอาจเกิดจาก

  1. การติดเชื้อไวรัส
  2. การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น Brucellosis, Typhoid, Lyme
  3. โรคมาลาเรีย
  4. การติดเชื้อวัณโรคหรือเชื้อรา
  5. ผลข้างเคียงจากยา ได้แก่
    • ยาเคมีบำบัด เช่น กลุ่ม Alkylating agents, Anthracyclines, Antimetabolites, Camptothecins, Epipodophyllotoxins, Hydroxyurea, Mitomycin C, Taxanes
    • ยาพุ่งเป้า เช่น Infliximab, Rituximab
    • ยากดภูมิต้านทาน เช่น Tacrolimus
    • ยาปฏิชีวนะ เช่น Vancomycin, Bactrim, Penicillin, Oxacillin, Cefotaxime, Ceftriaxone, Cefipime, Meropenem, Metronidazole, Tazocin, Ciprofloxacin, Clindamycin, Tobramycin, Linezolid, Teicoplanin, Dapsone, Quinine
    • ยาต้านไวรัส เช่น Valganciclovir
    • ยารักษาไทรอยด์เป็นพิษ เช่น Methimazole, Carbimazole, Propylthiouracil (PTU)
    • ยากันชักและยากดประสาท เช่น Lamotrigine, Levetiracetam, Clozapine, Quetiapine
    • ยาต้านซึมเศร้า เช่น Venlafaxine (Effexor®)
    • ยารักษาโรคข้ออักเสบเรื้อรัง เช่น Sulfasalazine, Hydroxychloroquine
    • ยาแก้ปวด เช่น Dipyrone, ยากลุ่มเอนเสดบางตัว เช่น Ibuprofen
    • ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร เช่น H2-blockers
    • ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Ticlopidine
    • ยาลดความดันโลหิต เช่น กลุ่ม ACEI
    • ยารักษาหัวใจเต้นผิดปกติ เช่น Quinidine, Procainamide
    • ยาขับปัสสาวะ เช่น Torsemide
  6. โรคของไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝ่อ, กลุ่มอาการ MDS, มะเร็งที่แพร่เข้าไขกระดูก (มักพบร่วมกับโลหิตจางหรือเกล็ดเลือดต่ำ)
  7. ผลจากการฉายรังสี
  8. ขาดวิตามินบี 12 และโฟเลต (พบในผู้ติดสุราเรื้อรัง มักมีโลหิตจางร่วม)
  9. ขาดธาตุทองแดง (copper)
  10. ถูกม้ามที่โตกิน
  11. โรคภูมิคุ้มกัน เช่น SLE
  12. โรคทางเมตาบอลิก เช่น Pearson syndrome, Gaucher syndrome, Acidemias
  13. โรค Sarcoidosis
  14. ไม่ทราบสาเหตุ

ยิ่งนิวโตรฟิลลดลงมาก ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตาม



Lymphopenia หรือ Lymphocytopenia

หมายถึง จำนวนลิมโฟไซต์ ต่ำกว่า 1,000 cells/μL ภาวะนี้พบมากในผู้ป่วยเอดส์ระยะท้ายที่เซลล์ CD4 ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนในคนทั่วไปถือว่าพบได้น้อย แต่หากตรวจพบ ควรพิจารณาสาเหตุต่อไปนี้

  1. จากยา เช่น สเตียรอยด์ ยาเคมีบำบัด
  2. มะเร็งลุกลามเข้าไขกระดูก
  3. ได้รับการฉายรังสีรักษาในขนาดสูง หรือได้รับกัมมันตรังสีจากอุบัติเหตุ

ส่วน Eosinophil, Basophil, Monocyte มีเปอร์เซนต์น้อยอยู่แล้ว ทำให้ประเมินจำนวนที่ลดลงยาก และไม่มีความสำคัญทางคลินิก

สรุป

หากตรวจพบเม็ดเลือดขาวน้อย ควรพิจารณาแยกชนิดของเม็ดเลือดขาวที่ลดลง และค้นหาสาเหตุอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในรายที่พบ Neutropenia หรือ Lymphopenia เพราะอาจเกี่ยวข้องกับภาวะติดเชื้อ โรคของไขกระดูก หรือผลจากยาและรังสี ซึ่งต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมต่อไป

บรรณานุกรม

  1. "Complete Blood Count in Primary Care." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา bpac.org.nz (1 ธันวาคม 2568).
  2. Janeway CA Jr, et al. 2001. "Generation of lymphocytes in bone marrow and thymus." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Immunobiology: The Immune System in Health and Disease. 5th ed. (1 ธันวาคม 2568).
  3. Karen Buckland. "Eosinophils." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Br Soc for Immunology. (1 ธันวาคม 2568).
  4. Suzanne Dixon. 2019. "What Do High and Low Basophil Levels on a Blood Test Mean?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Verywell Health. (1 ธันวาคม 2568).