เจ็บองคชาต (Penile pain)
อาการเจ็บองคชาตพบได้ในผู้ชายทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น จนถึงผู้ใหญ่ อาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง มีความรุนแรงแตกต่างกันตั้งแต่รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยไปจนถึงปวดรุนแรง อาการดังกล่าวอาจสะท้อนถึงความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ หลอดเลือด เส้นประสาท หรือเป็นผลจากการบาดเจ็บและการอักเสบ การประเมินสาเหตุอย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญต่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
สาเหตุและอาการเฉพาะ
- การอักเสบและการติดเชื้อ
- ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) : มักมีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะ อาจมีสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ และรู้สึกเจ็บบริเวณปลายองคชาต สาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- หนังหุ้มปลายและหัวองคชาตอักเสบ (Balanitis / Balanoposthitis) : มีอาการปวด แดง บวม คัน อาจมีตกขาวหรือกลิ่นผิดปกติ มักสัมพันธ์กับสุขอนามัยไม่ดี เบาหวานที่คุมไม่ดี หรือการระคายเคืองจากสารต่าง ๆ โดยสาเหตุที่พบบ่อยคือการติดเชื้อราและแบคทีเรีย
- ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis) : ผู้ป่วยมักมีอาการปวดลึกบริเวณโคนองคชาตหรือฝีเย็บ ร่วมกับปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะแสบขัด หรือปวดหลังส่วนล่าง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การบาดเจ็บและแรงกระแทก
- การบาดเจ็บโดยตรง : เช่น อุบัติเหตุ การกระแทก หรือกิจกรรมทางกายที่รุนแรง อาจทำให้เกิดอาการปวด บวม ฟกช้ำ หรือเจ็บเมื่อสัมผัส
- องคชาตหัก (Penile fracture) : เป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรม ผู้ป่วยมักมีอาการปวดอย่างเฉียบพลัน อาจได้ยินเสียงแตกในขณะอวัยวะเพศแข็งตัว ร่วมกับอาการบวมและรูปร่างองคชาตผิดปกติ
- ความผิดปกติของหลอดเลือดและการแข็งตัว
- การแข็งตัวค้าง (Priapism) : มีอาการปวดองคชาตอย่างมาก การแข็งตัวคงอยู่นานเกิน 4 ชั่วโมงโดยไม่สัมพันธ์กับความต้องการทางเพศ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
- ภาวะเลือดไปเลี้ยงไม่สมดุล : อาจทำให้ปวดตื้อหรือปวดเป็นพัก ๆ โดยเฉพาะขณะอวัยวะเพศแข็งตัว
- ความผิดปกติของเนื้อเยื่อและโครงสร้าง
- Peyronie’s disease : เกิดจากการมีพังผืดสะสมในเนื้อเยื่อองคชาต ทำให้องคชาตโค้งงอและมีอาการเจ็บขณะแข็งตัว บางรายสามารถคลำพบก้อนแข็งได้ มักมีประวัติการบาดเจ็บหรือการกระทบกระแทกเล็กน้อยมาก่อน แล้วเกิดพังผืดในช่วงการสมานตัวของเนื้อเยื่อ
- หนังหุ้มปลายตีบ : หากไม่สามารถรูดหนังหุ้มปลายขึ้นได้ เรียกว่า Phimosis ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บและตึง โดยเฉพาะขณะแข็งตัวหรือขณะทำความสะอาด ในบางกรณีเมื่อรูดหนังหุ้มปลายขึ้นแล้วไม่สามารถรูดกลับลงได้ เรียกว่า Paraphimosis ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากหนังหุ้มปลายจะรัดส่วนปลายองคชาต ทำให้เกิดอาการบวม ปวด และเสี่ยงต่อการขาดเลือดจนเนื้อเยื่อตายได้ (หากเข้าสู่วัยรุ่นแล้วและยังไม่สามารถรูดหนังหุ้มปลายได้ ควรพิจารณาการทำ circumcision)
- สาเหตุจากระบบประสาทและจิตใจ
- เส้นประสาทถูกกดทับหรือระคายเคือง : มักมีอาการปวดแสบ ปวดร้าว หรือรู้สึกชาตามแนวองคชาต
- ปัจจัยทางจิตใจ : ความเครียด ความวิตกกังวล หรือประสบการณ์ไม่พึงประสงค์ในอดีต อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดองคชาตได้ แม้ไม่พบความผิดปกติทางกายอย่างชัดเจน
แนวทางการวินิจฉัย
การวินิจฉัยเริ่มจากการซักประวัติอย่างละเอียด ได้แก่ ลักษณะและตำแหน่งของอาการปวด ระยะเวลาที่เป็น ความสัมพันธ์กับการปัสสาวะหรือการแข็งตัว ประวัติการบาดเจ็บ การติดเชื้อ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ จากนั้นจึงทำการตรวจร่างกายเฉพาะที่ โดยเน้นการตรวจหัวองคชาต หนังหุ้มปลาย โคนองคชาต และบริเวณฝีเย็บ
การตรวจเพิ่มเติมอาจพิจารณาตามข้อบ่งชี้ทางคลินิก เช่น การตรวจปัสสาวะ การเพาะเชื้อ การตรวจเลือด การอัลตราซาวด์ หรือการตรวจภาพถ่ายทางรังสีอื่น ๆ เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยและแยกโรค
แนวทางการรักษา
- การรักษาด้วยยา : ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อราในกรณีที่มีการติดเชื้อ ร่วมกับยาต้านการอักเสบและยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
- การรักษาเฉพาะสาเหตุ : เช่น การผ่าตัดในกรณีองคชาตหักหรือภาวะโครงสร้างผิดปกติ การดูแลรักษาภาวะฉุกเฉิน เช่น priapism หรือ paraphimosis อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
- การดูแลทั่วไป : เน้นการรักษาสุขอนามัยที่ดี หลีกเลี่ยงการกระแทกหรือกิจกรรมที่กระตุ้นอาการ และพักผ่อนให้เพียงพอ
- การดูแลด้านจิตใจ : ในกรณีที่อาการปวดสัมพันธ์กับความเครียดหรือความวิตกกังวล อาจพิจารณาการให้คำปรึกษาเพื่อช่วยลดอาการและปรับคุณภาพชีวิต
สรุป
อาการเจ็บองคชาตเป็นภาวะที่มีสาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่ภาวะที่ไม่รุนแรงไปจนถึงภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน การประเมินผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงทั้งสาเหตุทางกายและปัจจัยทางจิตใจ มีบทบาทสำคัญต่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม การรักษาที่ตรงตามสาเหตุจะช่วยบรรเทาอาการ ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว