อาการหลั่งเร็ว (Premature ejaculation)

การหลั่งเร็ว (Premature Ejaculation, PE) หรือที่เรียกกันว่า “ล่มปากอ่าว” หมายถึง ภาวะที่ฝ่ายชายไม่สามารถควบคุมการหลั่งให้นานพอที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสุดยอด โดยอาจหลั่งก่อนการสอดใส่ หรือภายในเวลาอันสั้นหลังการสอดใส่ โดยไม่ได้เป็นผลจากยาหรือสารเคมีบางชนิดที่ร่างกายได้รับ

ภาวะหลั่งเร็วถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยประมาณ 20–30% ของผู้ชายอาจประสบในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต พบได้แม้ในวัยหนุ่ม ซึ่งต่างจากภาวะการแข็งตัวผิดปกติที่มักพบหลังอายุ 40 ปี ผู้ชายที่มีอาการหลั่งเร็วตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่นมักมีปัจจัยด้านจิตใจเป็นสาเหตุสำคัญ ทั้งนี้ ความสามารถในการควบคุมการหลั่งมักดีขึ้นตามวัยและประสบการณ์ เช่นเดียวกับการที่เด็กหลายคนหยุดปัสสาวะรดที่นอนเมื่อระบบประสาทพัฒนาสมบูรณ์ขึ้น

สาเหตุของการหลั่งเร็ว

  1. สาเหตุทางกาย (Organic Causes)
    • ความไวของระบบประสาทสูงกว่าปกติ ทำให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเร็ว
    • ความผิดปกติของระดับสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะซีโรโทนิน (Serotonin)
    • โรคของต่อมไทรอยด์ เช่น ไทรอยด์ทำงานเกิน
    • โรคของต่อมลูกหมาก เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ
    • ปัจจัยทางพันธุกรรมในบางราย
    • ยาบางชนิดที่มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ
  2. สาเหตุทางจิตใจและพฤติกรรม (Psychogenic and Behavioral Causes)
    • ความเครียดและความกังวลด้านสมรรถภาพ (Performance anxiety)
    • ความตึงเครียดหรือความกดดันในความสัมพันธ์
    • ประสบการณ์ทางเพศในอดีตที่มีรูปแบบ “เร่งรีบ”
    • ความไม่มั่นใจในตัวเอง
    • ภาวะอารมณ์หรือความเครียดสะสมจากงานหรือชีวิตประจำวัน

แนวทางการวินิจฉัย

แพทย์จะใช้ข้อมูลจากการซักประวัติ การประเมินความสัมพันธ์ การตรวจร่างกาย และแบบประเมินมาตรฐาน โดยทั่วไปมีเกณฑ์สำคัญดังนี้:

  • ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทางเพศจนถึงการหลั่งสั้นกว่าปกติอย่างชัดเจน
  • ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้แม้พยายามยับยั้ง
  • อาการเกิดซ้ำอย่างต่อเนื่องจนส่งผลต่อความมั่นใจหรือความสัมพันธ์
  • การตรวจร่างกายเพื่อค้นหาโรคทางกาย เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือโรคไทรอยด์
  • การใช้แบบประเมินด้านการทำงานทางเพศในผู้ใหญ่เพื่อระบุรูปแบบปัญหา


แนวทางการรักษา

1. การปรับพฤติกรรม (Behavioral Therapy)

  • เทคนิคการควบคุมจังหวะการตอบสนองทางเพศ เช่น
    • เทคนิคหยุด-เริ่ม (Start-Stop)
    • การฝึกขมิบกล้ามเนื้อเชิงกรานเพื่อเพิ่มการควบคุม
    • การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งถัดไป เพื่อยืดระยะเวลาในการหลั่ง
    • การบีบส่วนปลายอวัยวะเพศ 3–5 วินาที หลังเล้าโลม แล้วพัก 5–10 นาที ก่อนกระตุ้นใหม่
    • การปรับท่าทางให้ฝ่ายชายอยู่ล่างหรือท่านอนตะแคงเพื่อลดความไว
    • การสวมถุงยางอนามัย ซึ่งช่วยลดความไวในบางราย
  • การฝึกสติ การผ่อนคลาย และการลดความเครียด
  • การเพิ่มความรู้ด้านสุขภาพทางเพศเพื่อลดความกังวลและเพิ่มความมั่นใจ

2. การรักษาทางจิตวิทยา (Psychotherapy)

  • การบำบัดเพื่อลดความวิตกกังวลที่เกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ
  • การเสริมทักษะการสื่อสารระหว่างคู่รักเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน

3. การรักษาทางยา (Pharmacologic Treatment)

แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ เช่น

  • ยาที่เพิ่มระดับซีโรโทนิน เช่น กลุ่ม SSRIs, TCAs, หรือ Tramadol (ห้ามใช้ร่วมกันเพราะเสี่ยงซีโรโทนินสูงเกิน ทำให้เกิดอาการสั่น เกร็ง ท้องเสีย ไข้ หรือชักได้)
  • ยาชาทาเฉพาะที่เพื่อลดความไว เช่น Lidocaine spray, Lidocaine-Prilocaine cream, TEMPE spray, SS cream
  • ยากลุ่ม PDE-5 inhibitors หากมีภาวะ ED ร่วมด้วย

การใช้ยาทุกชนิดต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อความปลอดภัย

4. การรักษาร่วม (Combination Therapy)

ในหลายกรณี การใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การปรับพฤติกรรมควบคู่การบำบัดด้านจิตใจและการใช้ยา จะให้ผลดีที่สุด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

สรุป

การหลั่งเร็วเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาได้ ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยทางกาย จิตใจ หรือปัจจัยด้านพฤติกรรม การประเมินสาเหตุอย่างรอบด้านเป็นกุญแจสำคัญในการเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด แนวทางการรักษามีตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การบำบัดทางจิตใจ การใช้ยา ไปจนถึงการรักษาแบบผสมผสาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตอบสนองต่อการรักษาดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ การเปิดใจสื่อสารกับคู่รักและเข้าพบแพทย์เพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณภาพชีวิตทางเพศกลับมาดีขึ้นได้ในระยะยาว