ปวดในถุงอัณฑะ (Scrotal pain)
อาการปวดในถุงอัณฑะพบได้บ่อยในเวชปฏิบัติ และอาจสะท้อนปัญหาตั้งแต่โรคที่ไม่รุนแรงไปจนถึงภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรมที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น การบิดขั้วอัณฑะ (testicular torsion) การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการจำแนกสาเหตุอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการสูญเสียอวัยวะและภาวะแทรกซ้อนระยะยาว
สาเหตุของอาการปวดในถุงอัณฑะ
- Testicular Torsion (อัณฑะบิดเกลียว)
พบได้มากในวัยรุ่น เกิดจากการที่อัณฑะหมุนรอบท่อนำอสุจิ ทำให้เลือดไปเลี้ยงลดลงอย่างเฉียบพลัน เป็นภาวะศัลยกรรมฉุกเฉินที่ต้องรีบผ่าตัดแก้ไข หากล่าช้าอาจทำให้อัณฑะสูญเสียการทำงานถาวร
- Testicular Appendage Torsion (ติ่งอัณฑะบิดขั้ว)
เกิดจากส่วนต่อของอัณฑะ เช่น appendix testis หมุนบิดขั้ว ทำให้เกิดอาการปวดเฉพาะที่ คล้าย testicular torsion แต่โดยทั่วไปมีความรุนแรงน้อยกว่า
- Epididymo-orchitis (หลอดเก็บอสุจิและอัณฑะอักเสบ)
มักเกิดจากการติดเชื้อที่แพร่เข้าสู่ท่อปัสสาวะ เช่น เชื้อกรัมลบ (E.coli) หรือเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น N. gonorrhoeae และ Chlamydia trachomatis นอกจากนี้อาจพบในโรคคางทูม (mumps) หรือวัณโรคที่แพร่กระจายได้ด้วย
ผู้ป่วยมักมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ร่วมกับไข้และอาการปัสสาวะแสบขัด พบมากในผู้ใหญ่
- Strangulated Inguinal Hernia (ไส้เลื่อนติดค้างจนขาดเลือด)
เกิดเมื่อไส้เลื่อนเคลื่อนลงมาในถุงอัณฑะและติดค้าง จนเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมาก ร่วมกับการคลำได้ก้อนแข็งในถุงอัณฑะหรือขาหนีบ พบด้านขวามากกว่าซ้าย
- Fournier’s Gangrene
เป็นการติดเชื้อรุนแรงของเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณฝีเย็บและอวัยวะเพศ เกิดขึ้นรวดเร็วและลุกลามอย่างมาก ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออกและให้ยาปฏิชีวนะอย่างเร่งด่วน
- Testicular Injury (อัณฑะบาดเจ็บ)
อาจเกิดจากการกระแทก แรงกด หรืออุบัติเหตุ ทำให้ปวดเฉียบพลันและบวมของถุงอัณฑะ
- Varicocele (เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ)
พบมากในวัยหนุ่ม โดยเฉพาะด้านซ้าย เนื่องจากหลอดเลือดดำฝั่งซ้ายไหลกลับหัวใจด้วยเส้นทางที่ยาวกว่าและมีแรงดันสูงกว่า จึงเกิดการคั่งของเลือดได้ง่ายกว่า ทำให้รู้สึกปวดหน่วง หรือหนัก ๆ โดยเฉพาะเมื่อยืนนานหรือออกแรง
ตารางเปรียบเทียบลักษณะทางคลินิกของสาเหตุต่าง ๆ
| สาเหตุ |
ลักษณะอาการเด่น |
สิ่งตรวจพบที่สำคัญ |
| อัณฑะบิดเกลียว |
ปวดเฉียบพลันรุนแรง ร่วมกับคลื่นไส้หรืออาเจียน |
อัณฑะอยู่สูงขึ้น ลักษณะนอนขวาง, cremasteric reflex* ลดลงหรือหายไป |
| ติ่งอัณฑะบิดขั้ว |
ปวดเฉพาะจุด ลักษณะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าอัณฑะบิดเกลียว |
อาจพบก้อนเล็กเจ็บ และจุดสีคล้ำ (blue dot sign) |
| หลอดเก็บอสุจิและอัณฑะอักเสบ |
ปวดแบบค่อยเป็นค่อยไป ร่วมกับไข้และปัสสาวะแสบขัด |
หลอดเก็บอสุจิบวม เจ็บมาก และปวดเพิ่มเมื่อกดที่อัณฑะ |
| ไส้เลื่อนติดค้าง |
ปวดรุนแรงต่อเนื่อง |
มีก้อนแข็ง กดเจ็บมาก ไม่สามารถดันกลับเข้าช่องท้องได้ |
| Fournier’s gangrene |
ปวดมาก ร่วมกับไข้สูงหรืออาการอ่อนเพลีย |
ผิวหนังบวม แดงหรือคล้ำ มีสัญญาณติดเชื้อรุนแรง |
| อัณฑะบาดเจ็บ |
ปวดเฉียบพลันสัมพันธ์กับการบาดเจ็บ |
บวม รอยช้ำ อาจมีเลือดคั่งในถุงอัณฑะ |
| เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ |
ปวดหน่วงหรือหนัก โดยเฉพาะเมื่อยืนนาน |
หลอดเลือดดำโป่งพอง อาจคลำได้เหมือน “ถุงหนอน” และอาจมีบุตรยาก |
* Cremasteric reflex ตรวจโดยการขีดผิวหนังด้านในของต้นขา ปกติลูกอัณฑะจะยกตัวขึ้นชั่วครู่ก่อนกลับสู่ตำแหน่งเดิม
แนวทางการวินิจฉัย
- การซักประวัติ
- ลักษณะอาการปวด: เฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป
- อาการร่วม: ไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะแสบขัด
- ประวัติการบาดเจ็บ
- อาการของไส้เลื่อนหรือก้อนบริเวณขาหนีบ
- ประวัติมีบุตรยากหรืออาการกดทับเรื้อรัง
- การตรวจร่างกาย
- ตรวจตำแหน่ง รูปร่าง และความสมมาตรของอัณฑะ
- ประเมิน cremasteric reflex
- ตรวจหาก้อน บวม หรือรอยช้ำ
- ตรวจสัญญาณการติดเชื้อ
- ตรวจหาหลอดเลือดดำโป่งพอง (varicocele)
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- Urinalysis เพื่อประเมินการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- CBC เพื่อประเมินภาวะติดเชื้อหรือการอักเสบ
- การตรวจทางภาพวินิจฉัย
- Ultrasound with Doppler เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุด ช่วยประเมินการไหลเวียนเลือดของอัณฑะ
- CT scan ใช้ในกรณีสงสัย Fournier’s gangrene หรือการติดเชื้อที่ลุกลาม
แนวทางการรักษา
- อัณฑะบิดเกลียว ต้องผ่าตัดฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด ภายใน 4–6 ชั่วโมงแรก เพื่อรักษาการทำงานของอัณฑะ
- ติ่งอัณฑะบิดขั้ว รักษาตามอาการ เช่น ประคบเย็นและยาแก้ปวด หากอาการไม่ดีขึ้นอาจต้องผ่าตัด
- หลอดเก็บอสุจิและอัณฑะอักเสบ ให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่สงสัย พร้อมพักผ่อนและประคบเย็น
- อายุ < 35 ปี (มักเป็น STD): ceftriaxone 500 mg IM single dose + doxycycline 10–14 วัน หรือ azithromycin 1 กรัม
- อายุ > 35 ปี: ให้ quinolones 10–14 วัน
- ไส้เลื่อนติดค้างจนขาดเลือด ต้องผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อคืนตำแหน่งของไส้เลื่อนและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะลำไส้ขาดเลือด
- Fournier’s Gangrene ต้องผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออกทันที ให้ยาปฏิชีวนะครอบคลุมกว้าง และอาจต้องดูแลใน ICU
- อัณฑะบาดเจ็บ ใช้อัลตราซาวด์ประเมิน หากมีการฉีกขาดหรือเลือดคั่งมาก อาจต้องผ่าตัดแก้ไข
- เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ หากอาการน้อย ให้ใช้ jockstrap ประคบเย็นและยาแก้ปวด หากรุนแรงพิจารณาผ่าตัดผูกหลอดเลือด (ligation) หรืออุดหลอดเลือด (embolization)
สรุป
อาการปวดในถุงอัณฑะเป็นภาวะที่มีสาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่การอักเสบที่ไม่รุนแรงจนถึงภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาเร่งด่วน การประเมินอย่างเป็นระบบด้วยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการใช้เครื่องมือวินิจฉัยเฉพาะ เช่น Doppler ultrasound มีบทบาทสำคัญในการจำแนกสาเหตุ การรักษาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในกรณีลูกอัณฑะบิดเกลียว หรือไส้เลื่อนติดค้าง มีความสำคัญต่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาวและสงวนการทำงานของอัณฑะไว้