ปวดในถุงอัณฑะ (Scrotal pain)

อาการปวดในถุงอัณฑะพบได้บ่อยในเวชปฏิบัติ และอาจสะท้อนปัญหาตั้งแต่โรคที่ไม่รุนแรงไปจนถึงภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรมที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น การบิดขั้วอัณฑะ (testicular torsion) การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการจำแนกสาเหตุอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการสูญเสียอวัยวะและภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

สาเหตุของอาการปวดในถุงอัณฑะ

  1. Testicular Torsion (อัณฑะบิดเกลียว)

    พบได้มากในวัยรุ่น เกิดจากการที่อัณฑะหมุนรอบท่อนำอสุจิ ทำให้เลือดไปเลี้ยงลดลงอย่างเฉียบพลัน เป็นภาวะศัลยกรรมฉุกเฉินที่ต้องรีบผ่าตัดแก้ไข หากล่าช้าอาจทำให้อัณฑะสูญเสียการทำงานถาวร

  2. Testicular Appendage Torsion (ติ่งอัณฑะบิดขั้ว)

    เกิดจากส่วนต่อของอัณฑะ เช่น appendix testis หมุนบิดขั้ว ทำให้เกิดอาการปวดเฉพาะที่ คล้าย testicular torsion แต่โดยทั่วไปมีความรุนแรงน้อยกว่า

  3. Epididymo-orchitis (หลอดเก็บอสุจิและอัณฑะอักเสบ)

    มักเกิดจากการติดเชื้อที่แพร่เข้าสู่ท่อปัสสาวะ เช่น เชื้อกรัมลบ (E.coli) หรือเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น N. gonorrhoeae และ Chlamydia trachomatis นอกจากนี้อาจพบในโรคคางทูม (mumps) หรือวัณโรคที่แพร่กระจายได้ด้วย

    ผู้ป่วยมักมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ร่วมกับไข้และอาการปัสสาวะแสบขัด พบมากในผู้ใหญ่

  4. Strangulated Inguinal Hernia (ไส้เลื่อนติดค้างจนขาดเลือด)

    เกิดเมื่อไส้เลื่อนเคลื่อนลงมาในถุงอัณฑะและติดค้าง จนเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมาก ร่วมกับการคลำได้ก้อนแข็งในถุงอัณฑะหรือขาหนีบ พบด้านขวามากกว่าซ้าย

  5. Fournier’s Gangrene

    เป็นการติดเชื้อรุนแรงของเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณฝีเย็บและอวัยวะเพศ เกิดขึ้นรวดเร็วและลุกลามอย่างมาก ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออกและให้ยาปฏิชีวนะอย่างเร่งด่วน

  6. Testicular Injury (อัณฑะบาดเจ็บ)

    อาจเกิดจากการกระแทก แรงกด หรืออุบัติเหตุ ทำให้ปวดเฉียบพลันและบวมของถุงอัณฑะ

  7. Varicocele (เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ)

    พบมากในวัยหนุ่ม โดยเฉพาะด้านซ้าย เนื่องจากหลอดเลือดดำฝั่งซ้ายไหลกลับหัวใจด้วยเส้นทางที่ยาวกว่าและมีแรงดันสูงกว่า จึงเกิดการคั่งของเลือดได้ง่ายกว่า ทำให้รู้สึกปวดหน่วง หรือหนัก ๆ โดยเฉพาะเมื่อยืนนานหรือออกแรง

ตารางเปรียบเทียบลักษณะทางคลินิกของสาเหตุต่าง ๆ

สาเหตุ ลักษณะอาการเด่น สิ่งตรวจพบที่สำคัญ
อัณฑะบิดเกลียว ปวดเฉียบพลันรุนแรง ร่วมกับคลื่นไส้หรืออาเจียน อัณฑะอยู่สูงขึ้น ลักษณะนอนขวาง, cremasteric reflex* ลดลงหรือหายไป
ติ่งอัณฑะบิดขั้ว ปวดเฉพาะจุด ลักษณะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าอัณฑะบิดเกลียว อาจพบก้อนเล็กเจ็บ และจุดสีคล้ำ (blue dot sign)
หลอดเก็บอสุจิและอัณฑะอักเสบ ปวดแบบค่อยเป็นค่อยไป ร่วมกับไข้และปัสสาวะแสบขัด หลอดเก็บอสุจิบวม เจ็บมาก และปวดเพิ่มเมื่อกดที่อัณฑะ
ไส้เลื่อนติดค้าง ปวดรุนแรงต่อเนื่อง มีก้อนแข็ง กดเจ็บมาก ไม่สามารถดันกลับเข้าช่องท้องได้
Fournier’s gangrene ปวดมาก ร่วมกับไข้สูงหรืออาการอ่อนเพลีย ผิวหนังบวม แดงหรือคล้ำ มีสัญญาณติดเชื้อรุนแรง
อัณฑะบาดเจ็บ ปวดเฉียบพลันสัมพันธ์กับการบาดเจ็บ บวม รอยช้ำ อาจมีเลือดคั่งในถุงอัณฑะ
เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ ปวดหน่วงหรือหนัก โดยเฉพาะเมื่อยืนนาน หลอดเลือดดำโป่งพอง อาจคลำได้เหมือน “ถุงหนอน” และอาจมีบุตรยาก

* Cremasteric reflex ตรวจโดยการขีดผิวหนังด้านในของต้นขา ปกติลูกอัณฑะจะยกตัวขึ้นชั่วครู่ก่อนกลับสู่ตำแหน่งเดิม



แนวทางการวินิจฉัย

  1. การซักประวัติ
    • ลักษณะอาการปวด: เฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป
    • อาการร่วม: ไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะแสบขัด
    • ประวัติการบาดเจ็บ
    • อาการของไส้เลื่อนหรือก้อนบริเวณขาหนีบ
    • ประวัติมีบุตรยากหรืออาการกดทับเรื้อรัง
  2. การตรวจร่างกาย
    • ตรวจตำแหน่ง รูปร่าง และความสมมาตรของอัณฑะ
    • ประเมิน cremasteric reflex
    • ตรวจหาก้อน บวม หรือรอยช้ำ
    • ตรวจสัญญาณการติดเชื้อ
    • ตรวจหาหลอดเลือดดำโป่งพอง (varicocele)
  3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    • Urinalysis เพื่อประเมินการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
    • CBC เพื่อประเมินภาวะติดเชื้อหรือการอักเสบ
  4. การตรวจทางภาพวินิจฉัย
    • Ultrasound with Doppler เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุด ช่วยประเมินการไหลเวียนเลือดของอัณฑะ
    • CT scan ใช้ในกรณีสงสัย Fournier’s gangrene หรือการติดเชื้อที่ลุกลาม

แนวทางการรักษา

  1. อัณฑะบิดเกลียว ต้องผ่าตัดฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด ภายใน 4–6 ชั่วโมงแรก เพื่อรักษาการทำงานของอัณฑะ
  2. ติ่งอัณฑะบิดขั้ว รักษาตามอาการ เช่น ประคบเย็นและยาแก้ปวด หากอาการไม่ดีขึ้นอาจต้องผ่าตัด
  3. หลอดเก็บอสุจิและอัณฑะอักเสบ ให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่สงสัย พร้อมพักผ่อนและประคบเย็น
    - อายุ < 35 ปี (มักเป็น STD): ceftriaxone 500 mg IM single dose + doxycycline 10–14 วัน หรือ azithromycin 1 กรัม
    - อายุ > 35 ปี: ให้ quinolones 10–14 วัน
  4. ไส้เลื่อนติดค้างจนขาดเลือด ต้องผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อคืนตำแหน่งของไส้เลื่อนและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะลำไส้ขาดเลือด
  5. Fournier’s Gangrene ต้องผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออกทันที ให้ยาปฏิชีวนะครอบคลุมกว้าง และอาจต้องดูแลใน ICU
  6. อัณฑะบาดเจ็บ ใช้อัลตราซาวด์ประเมิน หากมีการฉีกขาดหรือเลือดคั่งมาก อาจต้องผ่าตัดแก้ไข
  7. เส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ หากอาการน้อย ให้ใช้ jockstrap ประคบเย็นและยาแก้ปวด หากรุนแรงพิจารณาผ่าตัดผูกหลอดเลือด (ligation) หรืออุดหลอดเลือด (embolization)

สรุป

อาการปวดในถุงอัณฑะเป็นภาวะที่มีสาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่การอักเสบที่ไม่รุนแรงจนถึงภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาเร่งด่วน การประเมินอย่างเป็นระบบด้วยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการใช้เครื่องมือวินิจฉัยเฉพาะ เช่น Doppler ultrasound มีบทบาทสำคัญในการจำแนกสาเหตุ การรักษาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในกรณีลูกอัณฑะบิดเกลียว หรือไส้เลื่อนติดค้าง มีความสำคัญต่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาวและสงวนการทำงานของอัณฑะไว้