อาการแสดงของไส้ติ่งอักเสบ (Signs of Appendicitis)

ไส้ติ่งอักเสบ (appendicitis) เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการปวดท้องเฉียบพลัน ซึ่งอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา การอักเสบอาจลุกลามจนเกิดการแตกของไส้ติ่ง การติดเชื้อในช่องท้อง และภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

โดยทั่วไป อาการของไส้ติ่งอักเสบมักเริ่มจากอาการปวดท้องแบบไม่จำเพาะ เช่น ปวดรอบสะดือหรือแน่นท้อง จากนั้นอาการจะค่อย ๆ เคลื่อนย้ายมาปวดชัดเจนที่ท้องน้อยขวาในช่วง 12–24 ชั่วโมง แพทย์จึงได้พัฒนาวิธีการตรวจร่างกายหลายรูปแบบเพื่อช่วยแยกโรคไส้ติ่งอักเสบออกจากสาเหตุปวดท้องอื่น ๆ อาการแสดงเหล่านี้เรียกรวมกันว่า Signs of appendicitis

แม้อาการแสดงเหล่านี้ไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคได้ด้วยตนเอง แต่การเข้าใจลักษณะอาการ จะช่วยให้ประชาชนสามารถสังเกตตัวเองได้ดีขึ้น และตัดสินใจไปพบแพทย์ได้อย่างเหมาะสม

ตารางเปรียบเทียบอาการแสดงของไส้ติ่งอักเสบ

ชื่ออาการแสดง ประวัติการค้นพบ วิธีการตรวจและการแปลผล ความถูกต้องและข้อจำกัด
1. McBurney’s point tenderness Dr. Charles McBurney ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน รายงานในวารสารการแพทย์ปี ค.ศ. 1889 ยุคก่อนที่จะมีการพัฒนาของการตรวจทางภาพถ่ายทางการแพทย์ ถือเป็นตำแหน่งคลาสสิกของไส้ติ่ง จุดที่กดแล้วเจ็บที่สุดจะอยู่ตรงจุด หนึ่งในสาม ของเส้นที่ลากจากปุ่มกระดูก anterior superior iliac spine ไปยังสะดือ (เลข 1 ตามรูปข้างบน) ความไวค่อนข้างสูง แต่หากไส้ติ่งอยู่ตำแหน่งที่ผิดปกติอาจทำให้ไม่เจ็บตำแหน่งนี้
2. Aaron’s sign ค้นพบโดย Dr. Charles D. Aaron ชาวอเมริกัน ในต้นศตวรรษที่ 20 จากการสังเกตอาการปวดร้าวขึ้นอก หลังกดตรวจท้องน้อยขวา กดที่ McBurney’s point สักครู่แล้วปล่อยแรงกด รอสัก 1–2 นาที จะเกิดอาการปวดร้าวไปลิ้นปี่หรือหน้าอก จากการส่งสัญญาณประสาทแบบ referred pain ความถูกต้องต่ำ–ปานกลาง มักพบในผู้ป่วยที่มีการระคายเคืองของเยื่อบุช่องท้อง อาจผิดพลาดในผู้ที่มีโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน
3. Rovsing’s sign ตั้งชื่อตาม Niels Thorkild Rovsing ศัลยแพทย์ชาวเดนมาร์ก กดท้องด้านซ้ายล่างแล้วเกิดอาการปวดที่ท้องน้อยขวา ถือว่าเป็นผลบวก มีความจำเพาะค่อนข้างดี พบได้บ่อยในไส้ติ่งอักเสบระยะมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ อาจไม่ชัดในเด็กหรือผู้สูงอายุ
4. Psoas sign อธิบายโดย Dr. John Benjamin Murphy ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน มี 2 วิธี
1. ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงซ้าย แพทย์จับขาขวาของผู้ป่วย ค่อย ๆ เหยียดสะโพกขวาไปด้านหลัง (extension of right hip)
2. ให้ผู้ป่วยนอนหงาย แพทย์ให้ผู้ป่วยยกขาขวาขึ้นต้านแรงมือแพทย์ที่กดลง
ทั้งสองวิธี ผู้ป่วยจะปวดท้องขวาล่าง
พบในไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ด้านหลัง (retrocecal appendix) ความไวไม่สูง (ไม่พบในผู้ป่วยทุกราย) แต่ความจำเพาะค่อนข้างดีสำหรับไส้ติ่งที่อยู่ด้านหลัง อาจให้ผลบวกลวงในกรณี กล้ามเนื้อสะโพกหรือหลังอักเสบ โรคข้อสะโพก และการติดเชื้อในช่องท้องส่วนลึกอื่น
5. Rosenstein’s sign พัฒนาโดยแพทย์ชาวเยอรมัน Rosenstein ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงซ้ายแล้วอาการปวดท้องน้อยขวาจะเพิ่มขึ้น พบได้ในผู้ป่วยที่ไส้ติ่งอักเสบชัดเจน ไม่เหมาะในผู้ป่วยเคลื่อนไหวลำบาก
6. Dunphy’s sign อธิบายจากการสังเกตอาการปวดขณะไอ โดย Dr. Osborne Joby Dunphy ให้ผู้ป่วยไอ หากปวดท้องน้อยขวาเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นผลบวก เข้าใจง่าย เหมาะกับการคัดกรองเบื้องต้น อาจผิดพลาดในโรคทางเดินหายใจหรือกล้ามเนื้อหน้าท้องอักเสบ
7. Markle’s sign รายงานโดย Dr. George Bushar Markle IV ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน ในปีค.ศ. 1985 รู้จักในชื่อ heel drop test ให้ผู้ป่วยเขย่งแล้วกระแทกส้นเท้าลงพื้น หากปวดท้องมากขึ้นถือว่าเป็นผลบวก ช่วยบ่งชี้การระคายเคืองเยื่อบุช่องท้อง ไม่เหมาะในผู้สูงอายุหรือผู้มีปัญหาข้อเข่า
8. Massouh’s sign เป็นอาการแสดงที่อธิบายในช่วงหลัง เพื่อใช้ตรวจในเด็ก ลูบหน้าท้องเบา ๆ จากซ้ายไปขวา เด็กจะหลบหรือร้องเมื่อแตะท้องน้อยขวา เหมาะในเด็กเล็กที่สื่อสารอาการปวดไม่ได้ดี ความแม่นยำขึ้นกับประสบการณ์ผู้ตรวจ
9. Sherren’s triangle อธิบายโดย Dr. James Sherren ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ตรวจความไวต่อความเจ็บในสามเหลี่ยมระหว่างสะดือ หัวหน่าว และกระดูกสะโพกขวา พบในไส้ติ่งอักเสบที่ลุกลาม ไม่จำเพาะ และใช้ค่อนข้างน้อยในปัจจุบัน
10. Ten Horn’s sign ตั้งชื่อตาม Ten Horn ดึงสายอสุจิด้านขวาในผู้ชายแล้วเกิดอาการปวดท้องน้อยขวา ใช้ได้เฉพาะในผู้ชาย มีความจำกัดและไม่ใช้เป็นมาตรฐาน


สรุป

อาการแสดงของไส้ติ่งอักเสบเป็นผลจากความพยายามของแพทย์ ในการใช้การตรวจร่างกายเพื่อช่วยวินิจฉัยโรคในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูง แม้ในปัจจุบัน การตรวจทางภาพถ่ายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะมีบทบาทสำคัญกว่าแต่ก็มีค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการได้คิวทำ อาการแสดงเหล่านี้จึงยังคงมีคุณค่าในการประเมินเบื้องต้น

สำหรับประชาชนทั่วไป การรับรู้ว่าอาการปวดท้องที่ ปวดมากขึ้นเมื่อไอ เคลื่อนไหว หรือกดแล้วเจ็บเฉพาะด้านขวาล่าง ร่วมกับมีไข้ อาจไม่ใช่เพียงอาการปวดท้องธรรมดา จะช่วยให้ตัดสินใจไปพบแพทย์ได้มั่นใจขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และช่วยลดภาระการนอนสังเกตอาการที่ไม่จำเป็นในโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยหนาแน่น