หูอื้อ (Tinnitus)
หูอื้อ คืออาการได้ยินเสียงไม่ชัดเจน ความคมชัดของเสียงลดลง หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอุดกั้นอยู่ในรูหู ผู้ป่วยมักได้ยินเสียงดังขึ้นเองภายในหู เช่น เสียงอื้อ เสียงวี้ด เสียงซ่า หรือเสียงลม ทั้งที่ไม่มีแหล่งกำเนิดเสียงภายนอก
สาเหตุที่พบบ่อย
- ภาวะขี้หูอุดตัน มักเกิดหลังเช็ดหูหรือปั่นหูด้วยสำลีก้าน ซึ่งอาจดันขี้หูให้ลึกเข้าไปจนไปพอกติดเยื่อแก้วหู ระยะแรกอาจมีหูอื้อเป็นครั้งคราว หรือมีเสียงก้องในหูเมื่อเคี้ยวอาหาร หากขี้หูอุดตันสนิทอาจทำให้ได้ยินลดลงหรือหูดับได้
- หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media) มักเกิดตามหลังไข้หวัด ทำให้มีน้ำคั่งในหูชั้นกลาง เกิดอาการปวดหู หูอื้อ และหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้แก้วหูทะลุจนมีน้ำหนองไหลออกจากหูได้
- ท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian tube) ทำงานผิดปกติ ท่อยูสเตเชี่ยนเชื่อมระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูก ทำหน้าที่ปรับความดันในหูให้เท่ากับภายนอก หากทำงานผิดปกติจะเกิดหูอื้อ บางรายมีปวดหู เวียนศีรษะ หรือเสียงรบกวนในหูร่วมด้วย
ความผิดปกติของท่อยูสเตเชี่ยน มักเกิดจากการอักเสบของจมูกจากหวัดหรือภูมิแพ้ หรือจากการเปลี่ยนความดันบรรยากาศอย่างรวดเร็ว เช่น ระหว่างโดยสารเครื่องบิน ซึ่งอาการมักเป็นเพียงชั่วคราว
แต่หากเกิดจากก้อนอุดท่อยูสเตเชี่ยน อาการหูอื้อจะไม่หายจนกว่าจะนำก้อนนั้นออก ตัวอย่างเช่น ต่อมอดีนอยด์โต หรือมะเร็งในโพรงหลังจมูกที่ลุกลามมาปิดรูเปิดของท่อยูสเตเชี่ยน
- หูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) พบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อที่ลามจนทำให้หูชั้นในและเส้นประสาทที่เชื่อมหูชั้นในกับสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หูอื้อตลอดเวลา หรือสูญเสียการได้ยินในหูข้างที่เป็น บางรายอาจมีผลกระทบต่อการมองเห็นร่วมด้วย
อาการมักเกิดขึ้นฉับพลัน และค่อย ๆ ดีขึ้นภายในหลายสัปดาห์ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจรุนแรงจนทำให้สูญเสียการได้ยินถาวร
- การสูญเสียการได้ยินจากการสัมผัสเสียงดังนาน ๆ (noise-induced hearing loss) ช่วงแรกจะได้ยินเสียงไม่คมชัดและมักมีเสียงดังคลออยู่ในหูแม้ออกจากที่เสียงดังมาแล้ว หากได้รับเสียงดังต่อเนื่องจะทำให้การได้ยินลดลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นหูดับ
- ยาและสารพิษ ยาบางชนิดอาจทำให้หูอื้อหรือมีผลต่อการได้ยิน เช่น ยากลุ่ม NSAIDs, ยาปฏิชีวนะบางชนิด, ยาเคมีบำบัด เป็นต้น
สาเหตุที่พบน้อยกว่าแต่ต้องระวัง ได้แก่ เนื้องอกเส้นประสาท (vestibular schwannoma/acoustic neuroma) และความผิดปกติของหลอดเลือด (AVM/AVF) โดยเฉพาะในกรณีที่ได้ยินเสียงเป็นจังหวะตามชีพจร
แนวทางการตรวจวินิจฉัย
หลักการสำคัญ ได้แก่
- ซักประวัติ: ลักษณะเสียง (คงที่/เป็นช่วง/เป็นจังหวะ), ระดับความรุนแรง ผลกระทบต่อการนอนหรือการทำงาน, ประวัติการสัมผัสเสียงดัง, ยาที่ใช้, อาการร่วม (เวียนศีรษะ มีน้ำในหูหรือไม่), ประวัติการบาดเจ็บศีรษะ
- การตรวจทางหู คอ จมูก (ENT): ตรวจหูภายนอก, การเคลื่อนไหวขากรรไกร (TMJ), การตรวจการได้ยินเบื้องต้น
- การตรวจการได้ยิน (audiometry): ประเมินเสียงพูดและออดิโอแกรม เพื่อตรวจหาการสูญเสียการได้ยินหรือการได้ยินที่ไม่สมมาตร
- การตรวจเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น: MRI/CT หากสงสัยโรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาทหู (retrocochlear pathology) โดยเฉพาะเมื่อมีการได้ยินไม่สมมาตร หรือมีอาการทางระบบประสาทร่วม ตรวจหลอดเลือดเมื่อสงสัย pulsatile tinnitus
- การประเมินผลกระทบต่อชีวิต: เช่น Tinnitus Handicap Inventory (THI) เพื่อประเมินความรุนแรงและผลกระทบทางจิตสังคม
ตารางการวินิจฉัยแยกโรค
| สาเหตุ/กลุ่ม |
ลักษณะสำคัญ |
การตรวจ/การแยกโรค |
| ขี้หูอุดตัน |
อาการเกิดทันที รู้สึกอึดอัดหรือคัดหู |
Otoscope พบขี้หูอุดตัน, Rinne negative (Conductive) |
| หูชั้นกลางอักเสบ |
เริ่มจากไข้หวัด ต่อมาปวดหู อาจมีหนองไหลออกจากหู |
Tympanometry ผิดปกติ แก้วหูโป่งหรือทะลุ |
| หูชั้นในอักเสบ/ผิดปกติ |
การได้ยินลดลง มีเสียงวี๊งร่วมได้ |
Audiometry (sensorineural pattern), ประวัติการสัมผัสเสียงดัง, การใช้ยา |
| Otosclerosis |
เริ่มจากหูอื้อ และค่อย ๆ หูหนวกทีละน้อย มักพบในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น |
Tympanometry, Audiometry (conductive pattern), ENT exam |
| โรคมีเนียร์ |
หูอื้อร่วมกับเวียนศีรษะบ้านหมุน การได้ยินแผ่วลงเป็นช่วง ๆ |
Audiogram พบการลดลงในเสียงความถี่ต่ำ |
| Pulsatile tinnitus (หลอดเลือด) |
ได้ยินเสียงเป็นจังหวะตามชีพจร สัมพันธ์กับหัวใจ/หลอดเลือด |
ตรวจหลอดเลือด, vascular imaging (CT/MR angiography) |
| Retrocochlear lesion (acoustic neuroma) |
หูอื้อข้างเดียวร่วมกับการได้ยินไม่สมมาตร ปวดศีรษะ หรือมีอาการทางสมองร่วม |
MRI brain/internal auditory canals |
แนวทางการรักษา
แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้หายขาดจากอาการหูอื้อทุกรูปแบบ แต่มีหลายแนวทางที่ช่วยบรรเทา ลดผลกระทบ และปรับคุณภาพชีวิต ได้แก่
- การรักษาสาเหตุ — เช่น เอาขี้หูออก รักษาโรคหูชั้นกลาง ตรวจและรักษาโรคหลอดเลือดหรือเนื้องอกเมื่อพบ
- การบำบัดด้วยเสียง (sound therapy) — ใช้เสียงพื้นหลัง เครื่องช่วยลดเสียงรบกวน (maskers) หรือการตั้งโปรแกรมเสียง เพื่อช่วยให้สมองคุ้นชินกับเสียงรบกวน
- Cognitive Behavioral Therapy (CBT) — ช่วยลดความทุกข์และปรับการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเสียงหูอื้อ มักใช้ร่วมกับการบำบัดด้วยเสียง
- เครื่องช่วยฟัง (hearing aids) — มีประโยชน์ในผู้ที่มีการได้ยินเสื่อมร่วม ช่วยให้ได้ยินดีขึ้นและลดการรับรู้เสียงรบกวน
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล เช่น คอนเสิร์ต เครื่องจักรหนัก
- ใช้ที่อุดหูหรือครอบหูเมื่อจำเป็นต้องอยู่ในที่เสียงดัง
- ลดการใช้หูฟังเสียงดังเป็นเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการใช้สำลีปั่นหู หรือใช้ไม้แคะหูแรง ๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นพิษต่อหูโดยไม่จำเป็น
- หากมีอาการหูอื้อระหว่างขึ้นที่สูงหรือโดยสารเครื่องบิน สามารถบรรเทาได้ด้วยการกลืนน้ำลายบ่อย ๆ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยเปิดท่อยูสเตเชี่ยน
- หากน้ำเข้าหูจนเกิดอาการอื้อ ให้ตะแคงหัวเพื่อให้น้ำไหลออก และเช็ดรูหูให้แห้ง อาจต้องทำซ้ำหากอาการยังไม่ดีขึ้น
- รักษาโรคหูอักเสบหรือภาวะติดเชื้อให้เร็วที่สุด
- หากพบอาการหูอื้อแบบมีจังหวะตามชีพจร (pulsatile tinnitus) หรือมีการได้ยินลดลงข้างเดียว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม
สรุป
หูอื้อ (tinnitus) เป็นอาการที่พบได้บ่อยและมีสาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่ภาวะขี้หูอุดตัน ปัญหาหูชั้นกลาง ไปจนถึงความผิดปกติของหลอดเลือดหรือเส้นประสาท การประเมินอย่างเป็นระบบผ่านการซักประวัติ การตรวจหู การตรวจการได้ยิน และการตรวจเพิ่มเติมตามข้อบ่งชี้ ช่วยให้ค้นหาสาเหตุที่รักษาได้ และช่วยจัดการความรุนแรงของอาการได้อย่างเหมาะสม
แนวทางการป้องกันเน้นการลดการสัมผัสเสียงดัง การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำร้ายการได้ยิน เช่น ยาที่มีพิษต่อหู รวมถึงการดูแลสุขภาพโดยรวมอย่างรอบด้าน เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดอาการหูอื้อและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว