หูอื้อ (Tinnitus)

หูอื้อ คืออาการได้ยินเสียงไม่ชัดเจน ความคมชัดของเสียงลดลง หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอุดกั้นอยู่ในรูหู ผู้ป่วยมักได้ยินเสียงดังขึ้นเองภายในหู เช่น เสียงอื้อ เสียงวี้ด เสียงซ่า หรือเสียงลม ทั้งที่ไม่มีแหล่งกำเนิดเสียงภายนอก

สาเหตุที่พบบ่อย

  1. ภาวะขี้หูอุดตัน มักเกิดหลังเช็ดหูหรือปั่นหูด้วยสำลีก้าน ซึ่งอาจดันขี้หูให้ลึกเข้าไปจนไปพอกติดเยื่อแก้วหู ระยะแรกอาจมีหูอื้อเป็นครั้งคราว หรือมีเสียงก้องในหูเมื่อเคี้ยวอาหาร หากขี้หูอุดตันสนิทอาจทำให้ได้ยินลดลงหรือหูดับได้
  2. หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media) มักเกิดตามหลังไข้หวัด ทำให้มีน้ำคั่งในหูชั้นกลาง เกิดอาการปวดหู หูอื้อ และหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้แก้วหูทะลุจนมีน้ำหนองไหลออกจากหูได้
  3. ท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian tube) ทำงานผิดปกติ ท่อยูสเตเชี่ยนเชื่อมระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูก ทำหน้าที่ปรับความดันในหูให้เท่ากับภายนอก หากทำงานผิดปกติจะเกิดหูอื้อ บางรายมีปวดหู เวียนศีรษะ หรือเสียงรบกวนในหูร่วมด้วย
  4. ความผิดปกติของท่อยูสเตเชี่ยน มักเกิดจากการอักเสบของจมูกจากหวัดหรือภูมิแพ้ หรือจากการเปลี่ยนความดันบรรยากาศอย่างรวดเร็ว เช่น ระหว่างโดยสารเครื่องบิน ซึ่งอาการมักเป็นเพียงชั่วคราว

    แต่หากเกิดจากก้อนอุดท่อยูสเตเชี่ยน อาการหูอื้อจะไม่หายจนกว่าจะนำก้อนนั้นออก ตัวอย่างเช่น ต่อมอดีนอยด์โต หรือมะเร็งในโพรงหลังจมูกที่ลุกลามมาปิดรูเปิดของท่อยูสเตเชี่ยน

  5. หูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) พบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อที่ลามจนทำให้หูชั้นในและเส้นประสาทที่เชื่อมหูชั้นในกับสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หูอื้อตลอดเวลา หรือสูญเสียการได้ยินในหูข้างที่เป็น บางรายอาจมีผลกระทบต่อการมองเห็นร่วมด้วย
  6. อาการมักเกิดขึ้นฉับพลัน และค่อย ๆ ดีขึ้นภายในหลายสัปดาห์ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจรุนแรงจนทำให้สูญเสียการได้ยินถาวร

  7. การสูญเสียการได้ยินจากการสัมผัสเสียงดังนาน ๆ (noise-induced hearing loss) ช่วงแรกจะได้ยินเสียงไม่คมชัดและมักมีเสียงดังคลออยู่ในหูแม้ออกจากที่เสียงดังมาแล้ว หากได้รับเสียงดังต่อเนื่องจะทำให้การได้ยินลดลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นหูดับ
  8. ยาและสารพิษ ยาบางชนิดอาจทำให้หูอื้อหรือมีผลต่อการได้ยิน เช่น ยากลุ่ม NSAIDs, ยาปฏิชีวนะบางชนิด, ยาเคมีบำบัด เป็นต้น

สาเหตุที่พบน้อยกว่าแต่ต้องระวัง ได้แก่ เนื้องอกเส้นประสาท (vestibular schwannoma/acoustic neuroma) และความผิดปกติของหลอดเลือด (AVM/AVF) โดยเฉพาะในกรณีที่ได้ยินเสียงเป็นจังหวะตามชีพจร



แนวทางการตรวจวินิจฉัย

หลักการสำคัญ ได้แก่

  1. ซักประวัติ: ลักษณะเสียง (คงที่/เป็นช่วง/เป็นจังหวะ), ระดับความรุนแรง ผลกระทบต่อการนอนหรือการทำงาน, ประวัติการสัมผัสเสียงดัง, ยาที่ใช้, อาการร่วม (เวียนศีรษะ มีน้ำในหูหรือไม่), ประวัติการบาดเจ็บศีรษะ
  2. การตรวจทางหู คอ จมูก (ENT): ตรวจหูภายนอก, การเคลื่อนไหวขากรรไกร (TMJ), การตรวจการได้ยินเบื้องต้น
  3. การตรวจการได้ยิน (audiometry): ประเมินเสียงพูดและออดิโอแกรม เพื่อตรวจหาการสูญเสียการได้ยินหรือการได้ยินที่ไม่สมมาตร
  4. การตรวจเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น: MRI/CT หากสงสัยโรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาทหู (retrocochlear pathology) โดยเฉพาะเมื่อมีการได้ยินไม่สมมาตร หรือมีอาการทางระบบประสาทร่วม ตรวจหลอดเลือดเมื่อสงสัย pulsatile tinnitus
  5. การประเมินผลกระทบต่อชีวิต: เช่น Tinnitus Handicap Inventory (THI) เพื่อประเมินความรุนแรงและผลกระทบทางจิตสังคม

ตารางการวินิจฉัยแยกโรค

สาเหตุ/กลุ่ม ลักษณะสำคัญ การตรวจ/การแยกโรค
ขี้หูอุดตัน อาการเกิดทันที รู้สึกอึดอัดหรือคัดหู Otoscope พบขี้หูอุดตัน, Rinne negative (Conductive)
หูชั้นกลางอักเสบ เริ่มจากไข้หวัด ต่อมาปวดหู อาจมีหนองไหลออกจากหู Tympanometry ผิดปกติ แก้วหูโป่งหรือทะลุ
หูชั้นในอักเสบ/ผิดปกติ การได้ยินลดลง มีเสียงวี๊งร่วมได้ Audiometry (sensorineural pattern), ประวัติการสัมผัสเสียงดัง, การใช้ยา
Otosclerosis เริ่มจากหูอื้อ และค่อย ๆ หูหนวกทีละน้อย มักพบในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น Tympanometry, Audiometry (conductive pattern), ENT exam
โรคมีเนียร์ หูอื้อร่วมกับเวียนศีรษะบ้านหมุน การได้ยินแผ่วลงเป็นช่วง ๆ Audiogram พบการลดลงในเสียงความถี่ต่ำ
Pulsatile tinnitus (หลอดเลือด) ได้ยินเสียงเป็นจังหวะตามชีพจร สัมพันธ์กับหัวใจ/หลอดเลือด ตรวจหลอดเลือด, vascular imaging (CT/MR angiography)
Retrocochlear lesion (acoustic neuroma) หูอื้อข้างเดียวร่วมกับการได้ยินไม่สมมาตร ปวดศีรษะ หรือมีอาการทางสมองร่วม MRI brain/internal auditory canals


แนวทางการรักษา

แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้หายขาดจากอาการหูอื้อทุกรูปแบบ แต่มีหลายแนวทางที่ช่วยบรรเทา ลดผลกระทบ และปรับคุณภาพชีวิต ได้แก่

  • การรักษาสาเหตุ — เช่น เอาขี้หูออก รักษาโรคหูชั้นกลาง ตรวจและรักษาโรคหลอดเลือดหรือเนื้องอกเมื่อพบ
  • การบำบัดด้วยเสียง (sound therapy) — ใช้เสียงพื้นหลัง เครื่องช่วยลดเสียงรบกวน (maskers) หรือการตั้งโปรแกรมเสียง เพื่อช่วยให้สมองคุ้นชินกับเสียงรบกวน
  • Cognitive Behavioral Therapy (CBT) — ช่วยลดความทุกข์และปรับการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเสียงหูอื้อ มักใช้ร่วมกับการบำบัดด้วยเสียง
  • เครื่องช่วยฟัง (hearing aids) — มีประโยชน์ในผู้ที่มีการได้ยินเสื่อมร่วม ช่วยให้ได้ยินดีขึ้นและลดการรับรู้เสียงรบกวน

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล เช่น คอนเสิร์ต เครื่องจักรหนัก
  • ใช้ที่อุดหูหรือครอบหูเมื่อจำเป็นต้องอยู่ในที่เสียงดัง
  • ลดการใช้หูฟังเสียงดังเป็นเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการใช้สำลีปั่นหู หรือใช้ไม้แคะหูแรง ๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นพิษต่อหูโดยไม่จำเป็น
  • หากมีอาการหูอื้อระหว่างขึ้นที่สูงหรือโดยสารเครื่องบิน สามารถบรรเทาได้ด้วยการกลืนน้ำลายบ่อย ๆ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยเปิดท่อยูสเตเชี่ยน
  • หากน้ำเข้าหูจนเกิดอาการอื้อ ให้ตะแคงหัวเพื่อให้น้ำไหลออก และเช็ดรูหูให้แห้ง อาจต้องทำซ้ำหากอาการยังไม่ดีขึ้น
  • รักษาโรคหูอักเสบหรือภาวะติดเชื้อให้เร็วที่สุด
  • หากพบอาการหูอื้อแบบมีจังหวะตามชีพจร (pulsatile tinnitus) หรือมีการได้ยินลดลงข้างเดียว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม

สรุป

หูอื้อ (tinnitus) เป็นอาการที่พบได้บ่อยและมีสาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่ภาวะขี้หูอุดตัน ปัญหาหูชั้นกลาง ไปจนถึงความผิดปกติของหลอดเลือดหรือเส้นประสาท การประเมินอย่างเป็นระบบผ่านการซักประวัติ การตรวจหู การตรวจการได้ยิน และการตรวจเพิ่มเติมตามข้อบ่งชี้ ช่วยให้ค้นหาสาเหตุที่รักษาได้ และช่วยจัดการความรุนแรงของอาการได้อย่างเหมาะสม

แนวทางการป้องกันเน้นการลดการสัมผัสเสียงดัง การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำร้ายการได้ยิน เช่น ยาที่มีพิษต่อหู รวมถึงการดูแลสุขภาพโดยรวมอย่างรอบด้าน เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดอาการหูอื้อและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว