ปัญหาสะดือ (Umbilical problems)
สายสะดือเป็นทางติดต่อระหว่างมารดากับทารกขณะอยู่ในครรภ์ เพื่อใช้ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนมายังลูก ภายในมีเส้นเลือดดำและแดง ไม่มีเส้นประสาท เมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว แพทย์จะตัดสายสะดือให้เหลือมาประมาณ 1-2 นิ้ว และผูกปลายไว้ด้วยเชือก
ในช่วง 2-3 วันแรก สายสะดือจะอ่อนและเปียก จากนั้นจะค่อย ๆ แห้งจากปลายเข้าหาโคนสะดือ โดยทั่วไปประมาณ 5–15 วัน สายสะดือจะเล็กลงและหลุดออกเอง แต่บางครั้งอาจนานถึง 3–4 สัปดาห์ โดยเฉพาะกรณีที่สะดือยังคงเปียกอยู่
ลักษณะที่มักเป็นปกติ: สีของตอสะดือมักเปลี่ยนจากเหลือง → น้ำตาล → ดำในระหว่างที่แห้ง มีเลือดซึมเล็กน้อยช่วงที่กำลังหลุด และไม่ควรมีกลิ่นเหม็นรุนแรงหรืออาการบวมแดงรอบ ๆ ฐานสะดือ
การดูแลสะดือที่ถูกวิธี
แนวทางสากลส่วนใหญ่แนะนำ ‘dry cord care’ หรือ ‘การดูแลให้สะอาดและแห้ง’ มากกว่าการใช้แอลกอฮอล์หรือยาต่าง ๆ โดยทั่วไปให้ปฏิบัติดังนี้:
- ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสบริเวณสะดือทุกครั้ง
- ปล่อยให้ตอสะดือสัมผัสอากาศบ่อย ๆ หากเป็นไปได้ พับขอบผ้าอ้อมลงเพื่อไม่ให้คลุมหรือเสียดสีที่ตอ
- หากตอสะดือเปื้อนอุจจาระหรือปัสสาวะ ให้ทำความสะอาดเบา ๆ ด้วยน้ำอุ่นและสำลีสะอาด จากนั้นซับให้แห้งสนิท
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น เช่น แอลกอฮอล์ทาซ้ำ ๆ หรือครีมต่าง ๆ ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำ
- อาบน้ำแบบเช็ดตัวจนกว่าตอสะดือจะหลุดและแผลหายดี จึงเริ่มอาบน้ำแบบจุ่มได้
อย่างไรก็ตาม ในสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทย กุมารแพทย์หลายท่านยังแนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์ 70% ทำความสะอาดสะดือทุกครั้งหลังอาบน้ำ โดยวิธีดังนี้:
- ใช้มือจับเชือกดึงขึ้นตรง ๆ เพื่อให้เห็นฐานสะดือที่อาจยังชื้น หากเช็ดไม่ถึงส่วนล่างจะทำให้ตอสะดือหลุดช้า
- ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ที่ทางโรงพยาบาลให้มา ให้ชุ่มพอควร ไม่แฉะจนเกินไป เช็ดจากโคนมาถึงปลาย แล้วเช็ดรอบ ๆ สะดือ โดยเฉพาะรอยต่อระหว่างตอและผิวหนัง
- เช็ดอย่างเบามือและวนรอบสะดือเพียงหนึ่งรอบ หากยังไม่สะอาดให้เปลี่ยนสำลีก้อนใหม่
- ปล่อยให้แอลกอฮอล์แห้งเองโดยไม่ต้องซับ
- งดใช้แป้งโรยบริเวณสะดือ เพราะความชื้นที่รวมกับแป้งจะกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
- อาจเลือกผ้าอ้อมที่มีขอบเอวเว้าตรงสะดือ เพื่อป้องกันการเสียดสี และใส่ผ้าอ้อมให้หลวมสักนิด ไม่แน่นมาก ให้มีการระบายอากาศที่ดี
- หลังตอสะดือหลุด อาจมีรอยแฉะหรือก้อนเลือดแห้งที่ยังติดอยู่ ควรเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ต่อจนผิวบริเวณนั้นแห้งและกลายเป็นผิวหนังปกติ
ปัญหาสะดือที่พบบ่อย
- การติดเชื้อที่สะดือ (Omphalitis) — การติดเชื้อที่ฐานสะดือและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้แดง บวม เจ็บ มีหนองหรือกลิ่นเหม็น อาจมีไข้ ซึม หรือกินนมน้อย ภาวะนี้ลุกลามได้รวดเร็วและเป็นอันตราย จำเป็นต้องพบแพทย์ทันที
- แกรนูโลมา (Umbilical granuloma) — เป็นปุ่มเนื้อเล็ก ๆ สีชมพูแดง มีผิวชื้นหรือน้ำเหลืองซึม มักไม่เจ็บและไม่อันตราย สามารถรักษาได้ง่ายโดยการจี้ด้วยซิลเวอร์ไนเตรต การใช้เกลือ หรือการผูกด้วยเส้นด้ายตามคำแนะนำแพทย์
- ไส้เลื่อนสะดือ (Umbilical hernia) — เห็นเป็นก้อนโป่งที่สะดือ โดยเฉพาะเวลาเด็กร้องหรือเบ่ง ส่วนใหญ่ยุบหายได้เองเมื่อเด็กโตกว่าเดิม แต่บางรายอาจต้องผ่าตัดหากไม่ยุบเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม หรือเกิดภาวะลำไส้ติดคา/ขาดเลือด (strangulation)
- ผิวหนังอักเสบหลังตอหลุด หรือแผลคั่งน้ำ — บริเวณรูสะดืออาจยังชื้นหรือมีคราบ ควรทำความสะอาดอย่างเบามือและติดตามอาการ
ลักษณะที่ควรไปพบแพทย์ก่อนนัด
- รอบฐานสะดือบวม แดง อุ่น เจ็บ และมีหนองหรือมีกลิ่นเหม็น — สงสัยติดเชื้อ (omphalitis)
- มีไข้ ซึม ไม่ค่อยกินนม หรือหายใจเร็ว — อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง
- มีเลือดออกมากหรือเลือดไหลไม่หยุดจากตอสะดือ
- มีก้อนแข็งที่ไม่ยุบเมื่อกด อาจเป็นไส้เลื่อนติดคาหรือมีลำไส้บิด หากก้อนมีสีคล้ำหรือเจ็บมากควรรีบพบแพทย์ทันที
สรุป
ตอสะดือของทารกโดยมากจะหลุดไปเองภายใน 1–2 สัปดาห์ และมักไม่มีปัญหารุนแรงหากดูแลอย่างถูกต้อง คือให้สะอาด แห้ง และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น แต่ในสภาพอากาศร้อนชื้น การใช้แอลกอฮอล์ช่วยทำความสะอาดอาจยังมีประโยชน์ ปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่ การติดเชื้อ แกรนูโลมา และไส้เลื่อนสะดือ ซึ่งส่วนใหญ่รักษาได้ง่ายหากตรวจพบเร็ว หากมีอาการบวมแดงมาก หนอง กลิ่นเหม็น ไข้ หรือก้อนผิดปกติที่เจ็บและกดยุบไม่ได้ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อประเมินทันที