โรคโจเกรน (Sjögren disease, SjD)

โรคโจเกรนเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง (autoimmune disease) ที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายต่อมที่สร้างน้ำ เช่น ต่อมน้ำลายและต่อมน้ำตา ทำให้เกิดอาการปากแห้งและตาแห้ง นอกจากนี้ยังสามารถมีผลต่ออวัยวะอื่น ๆ เช่น ข้อต่อ ปอด ไต และระบบประสาท โรคนี้พบได้บ่อยในเพศหญิง โดยเฉพาะช่วงอายุ 40–60 ปี

โรคโจเกรนพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 9:1 ความชุกอยู่ที่ประมาณ 0.1–0.6% ของประชากร โดยส่วนใหญ่เริ่มแสดงอาการในวัยกลางคน แต่สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ โรคอาจเกิดขึ้นเดี่ยว ๆ (Primary Sjögren disease) หรือร่วมกับโรคแพ้ภูมิอื่น เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) หรือโรคลูปัส (SLE) (Secondary Sjögren disease)

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • เพศหญิง (พบมากในผู้หญิงวัยกลางคน)
  • ประวัติครอบครัวมีโรคแพ้ภูมิตนเอง
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น EBV, HTLV-1
  • โรคแพ้ภูมิตนเองอื่น เช่น RA, SLE, systemic sclerosis

อาการ

อาการหลักของโรคโจเกรน ได้แก่

  • ตาแห้ง (Keratoconjunctivitis sicca): ระคายเคืองตา แสบตา เหมือนมีเศษผงในตา ตาพร่ามัว
  • ปากแห้ง (Xerostomia): กลืนอาหารลำบาก ต้องดื่มน้ำช่วย เคี้ยวยาก มีกลิ่นปาก ฟันผุง่าย

อาการอื่น ๆ

  • บวมของต่อมน้ำลาย โดยเฉพาะ parotid gland
  • ปวดข้อหรือข้ออักเสบ
  • อาการทางผิวหนัง เช่น ผื่นแห้ง หรือ Raynaud phenomenon
  • อาการนอกต่อม เช่น ปอดอักเสบ ไตอักเสบ ระบบประสาทผิดปกติ
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด non-Hodgkin lymphoma

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคโจเกรนอาศัยการรวมกันของประวัติ อาการ ตรวจร่างกาย และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น

  • การทดสอบ Schirmer test (ตรวจวัดการสร้างน้ำตา)
  • การย้อมสีตาด้วย fluorescein หรือ lissamine green
  • การตรวจชิ้นเนื้อจากต่อมน้ำลายเล็ก (Minor salivary gland biopsy)
  • ตรวจแอนติบอดี เช่น Anti-SSA/Ro, Anti-SSB/La, ANA, RF
  • การตรวจภาพ (sialography, salivary scintigraphy)

การวินิจฉัยแยกโรค

โรค ลักษณะสำคัญ ข้อแตกต่างจาก Sjögren
โรคตาแห้งจากอายุ (Age-related dry eye) มักพบในผู้สูงอายุ ไม่มีอาการปากแห้งร่วม ไม่มีแอนติบอดีเฉพาะเจาะจง
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) ปวดบวมข้อเรื้อรัง อาจพบ SjD ร่วมด้วย RA เดี่ยว ๆ ไม่มีปากแห้งและตาแห้งเด่นชัด
โรคลูปัส (SLE) อาจมีอาการตาแห้ง/ปากแห้ง แต่เด่นที่ผื่นแพ้แดด ไตอักเสบ พบแอนติบอดี anti-dsDNA, anti-Sm
ผลจากยาบางชนิด (เช่น ยาต้านซึมเศร้า, ยาขับปัสสาวะ) ทำให้เกิดอาการปากแห้ง ตาแห้ง สัมพันธ์กับการใช้ยา และหายได้เมื่อหยุดยา
การฉายแสงบริเวณศีรษะและคอ ทำลายต่อมน้ำลาย ทำให้ปากแห้ง ประวัติได้รับรังสีรักษา


การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่หายขาด การรักษามุ่งเน้นที่การบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ได้แก่

  1. การดูแลตา: ใช้น้ำตาเทียม เจลหล่อลื่นตา หลีกเลี่ยงลมและควัน
  2. การดูแลช่องปาก: จิบน้ำบ่อย ๆ ใช้สเปรย์หรือเจลเพิ่มความชุ่มชื้น ใช้หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล ตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ
  3. ยา:
    • Pilocarpine หรือ Cevimeline กระตุ้นการหลั่งน้ำลาย
    • Hydroxychloroquine สำหรับอาการข้อหรือผิวหนัง
    • ยากดภูมิ เช่น Methotrexate, Azathioprine, Rituximab ในรายที่มีอวัยวะอื่นถูกทำลาย
  4. การรักษาอาการร่วม: เช่น รักษาโรคข้ออักเสบ ปอดอักเสบ หรือไตอักเสบ

พยากรณ์โรค

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเรื้อรัง แต่สามารถควบคุมได้หากได้รับการรักษาและดูแลอย่างเหมาะสม คุณภาพชีวิตอาจลดลงจากอาการแห้งและภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อทางตาและช่องปาก ผู้ป่วยบางรายมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B-cell lymphoma โดยเฉพาะในผู้ที่มีต่อมน้ำลายโตเรื้อรังและค่า complement ต่ำ

การป้องกัน

ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ เนื่องจากเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง แต่สามารถลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนโดย

  • หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้ปากแห้ง เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยาต้านฮิสตามีน
  • ดูแลสุขภาพช่องปากและตาอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพเป็นระยะเพื่อเฝ้าระวังมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

สรุป

โรคโจเกรน (Sjögren disease, SjD) เป็นโรคแพ้ภูมิตนเองที่ทำลายต่อมน้ำลายและต่อมน้ำตา ทำให้เกิดอาการปากแห้ง ตาแห้ง และอาจมีผลต่ออวัยวะอื่น ๆ พบมากในเพศหญิงวัยกลางคน การวินิจฉัยต้องอาศัยทั้งประวัติ อาการ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และชิ้นเนื้อ การรักษามุ่งเน้นการบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน แม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว