โรคภูมิคุ้มกันมีกี่ประเภท
โรคภูมิคุ้มกันคือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะอ่อนแอเกินไป แข็งแรงเกินไป หรือทำงานผิดทิศทาง จนก่อให้เกิดโรค โดยแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภูมิคุ้มกันไวเกิน (โรคภูมิแพ้) และภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
1. โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency)
เป็นภาวะที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและบ่อย แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก:
- ภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary immunodeficiency): เกิดจากพันธุกรรมหรือความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น โรค SCID (Severe Combined Immunodeficiency), Agammaglobulinemia
- ภูมิคุ้มกันบกพร่องทุติยภูมิ (Secondary immunodeficiency): เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การติดเชื้อ HIV, การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน, ภาวะทุพโภชนาการ หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือด
โรคกลุ่มนี้ต้องรักษาด้วยการเพิ่มภูมิคุ้มกัน เช่น ฉีดอิมมูโนโกลบูลิน (IVIG), ปลูกถ่ายไขกระดูกในบางกรณี, ให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อ, รับวัคซีนที่เหมาะสม และควรป้องกันตัวโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อและรักษาภาวะโภชนาการให้ดี
2. ภาวะภูมิคุ้มกันไวเกินหรือโรคภูมิแพ้ (Hypersensitivity/Allergy)
เป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองมากเกินไปต่อสิ่งที่ไม่อันตราย เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้ หรืออาหารบางชนิด อย่างรุนแรงเกินไปจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อตนเอง แบ่งออกเป็น 4 ชนิดหลักตามกลไกการเกิดปฏิกิริยา ดังนี้
ภูมิไวเกินชนิดที่ 1 (Type I Hypersensitivity) — Immediate or Anaphylactic Reaction
เกิดจากการที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีชนิด IgE ต่อสารก่อภูมิแพ้ เมื่อมีการสัมผัสซ้ำ สารก่อภูมิแพ้จะจับกับ IgE ที่อยู่บนผิวของมาสต์เซลล์ (mast cells) และเบโซฟิล (basophils) ทำให้มีการหลั่งสารฮีสตามีนและสารก่ออักเสบอื่น ๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว เกิดอาการภายในไม่กี่นาที
ตัวอย่างโรค: โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis), โรคหืด (Asthma), ภูมิแพ้อาหาร (Food allergy), ภาวะแพ้ยารุนแรง (Anaphylaxis)
ภูมิไวเกินชนิดที่ 2 (Type II Hypersensitivity) — Cytotoxic Reaction
เกิดจากแอนติบอดีชนิด IgG หรือ IgM จับกับแอนติเจนที่อยู่บนผิวเซลล์ของร่างกายเอง แล้วกระตุ้นระบบคอมพลีเมนต์ (complement system) หรือเซลล์ภูมิคุ้มกันให้มาทำลายเซลล์นั้น ส่งผลให้เกิดการสลายของเซลล์
ตัวอย่างโรค: ภาวะโลหิตจางจากภูมิคุ้มกัน (Autoimmune hemolytic anemia), ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน (Immune thrombocytopenic purpura), ปฏิกิริยาหลังให้เลือดผิดหมู่ (Transfusion reaction), โรค Goodpasture syndrome
ภูมิไวเกินชนิดที่ 3 (Type III Hypersensitivity) — Immune Complex-Mediated Reaction
เกิดจากการที่แอนติบอดี (ส่วนใหญ่เป็น IgG) จับกับแอนติเจนในกระแสเลือด เกิดเป็น “immune complex” แล้วไปตกค้างในหลอดเลือดหรือเนื้อเยื่อ กระตุ้นให้เกิดการอักเสบจากระบบคอมพลีเมนต์และการดึงเม็ดเลือดขาวเข้ามาทำลายเนื้อเยื่อ
ตัวอย่างโรค: โรคไตอักเสบจากภูมิคุ้มกัน (Glomerulonephritis), Arthus reaction, Serum sickness, Hypersensitivity pneumonitis (farmer’s lung, pigeon breeder’s lung)
ภูมิไวเกินชนิดที่ 4 (Type IV Hypersensitivity) — Delayed or Cell-Mediated Reaction
เป็นปฏิกิริยาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแอนติบอดี แต่เกิดจากการตอบสนองของเซลล์ T lymphocytes โดยเฉพาะ T-helper (Th1) และ cytotoxic T-cell ทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อ ปฏิกิริยานี้เกิดช้าหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ 24–72 ชั่วโมง
ตัวอย่างโรค: ผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis), วัณโรคผิวหนัง (Tuberculin reaction), ภาวะปฎิเสบเนื้อเยื่อปลูกถ่าย (Chronic transplant rejection)
โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยเกิดจากภูมิไวเกินชนิดที่ 1 และส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง รักษาด้วยการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้, ใช้ยาแก้แพ้ (Antihistamines), ยาพ่นจมูก/ยาสเตียรอยด์, และการทำภูมิคุ้มกันบำบัด (Allergen immunotherapy) ส่วนใหญ่ตอบสนองดีต่อการรักษา แต่บางรายอาจเป็นเรื้อรังหากไม่สามารถเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้
โรคภูมิแพ้ป้องกันได้โดย ลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก, เลี้ยงลูกด้วยนมแม่, รักษาสภาพแวดล้อมในบ้านให้สะอาด
3. โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือภูมิต้านตนเอง (Autoimmune diseases)
เกิดจากความผิดพลาดของระบบภูมิคุ้มกันที่มองว่า “เซลล์ของร่างกาย” เป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างแอนติบอดีหรือกระตุ้น T-cell มาทำลายตนเอง กลไกนี้มักเกิดจากความบกพร่องของ Treg (Regulatory T-cell) ที่ปกติจะยับยั้งการตอบสนองต่อเนื้อเยื่อตัวเอง หาก Treg ทำงานผิดปกติจะเกิดการอักเสบเรื้อรังและการทำลายอวัยวะ
ตัวอย่างโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น
- โรคเอสแอลอี (SLE - Systemic Lupus Erythematosus)
- โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
- โรคไทรอยด์เป็นพิษแบบเกรฟส์ (Graves’ disease)
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 diabetes mellitus)
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis)
การรักษาโรคกลุ่มนี้จะใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids), ยาชีววัตถุ (Biologics), และยาต้านอักเสบ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื้อรัง ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง และติดตามภาวะแทรกซ้อนระยะยาว
สรุป
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายป้องกันตนเองจากสิ่งแปลกปลอม แต่เมื่อทำงานผิดปกติ อาจก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภูมิแพ้ ไปจนถึงภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง การเข้าใจหน้าที่และความสมดุลของภูมิคุ้มกัน รวมถึงบทบาทของเซลล์ควบคุมอย่าง Treg จึงมีความสำคัญต่อการวินิจฉัย รักษา และป้องกันโรคเหล่านี้อย่างเหมาะสม