โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata)

โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายรากผมของตนเอง ทำให้เกิดผมร่วงเป็นวงกลมหรือเป็นหย่อม ๆ บนหนังศีรษะ หรือบางครั้งอาจเกิดบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น คิ้ว ขนตา หรือหนวด ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตแต่มีผลกระทบทางจิตใจและความมั่นใจของผู้ป่วยอย่างมาก

โรคนี้พบได้ประมาณ 1–2% ของประชากรทั่วไป และพบได้ทุกเพศทุกวัย โดยมักเริ่มในวัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาว อัตราการเกิดใกล้เคียงกันระหว่างชายและหญิง และมีแนวโน้มพบในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้หรือโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

สาเหตุที่แท้จริงของโรคผมร่วงเป็นหย่อมยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่:

  • ภูมิต้านตนเอง (Autoimmunity): ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์รากผมโดยเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม
  • พันธุกรรม: พบว่าผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นโรคนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
  • ความเครียดทางจิตใจหรือร่างกาย: อาจกระตุ้นให้โรคกำเริบหรือเริ่มต้น
  • การติดเชื้อหรือปัจจัยสิ่งแวดล้อม: เช่น การเจ็บป่วยเฉียบพลัน หรือสารเคมีบางชนิด
  • โรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ: เช่น โรคไทรอยด์อักเสบ โรคลูปัส หรือเบาหวานชนิดที่ 1

อาการ

อาการสำคัญของโรคนี้คือ “ผมร่วงเป็นหย่อม” โดยมีลักษณะดังนี้:

  • ผมร่วงเป็นหย่อมวงกลมหรือรี ขนาดตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตรจนถึงหลายเซนติเมตร
  • บริเวณที่ร่วงมักเรียบ ไม่มีรอยแผลหรือสะเก็ด
  • เส้นผมบริเวณขอบของหย่อมอาจเห็นเป็นลักษณะ “ผมรูปเครื่องหมายอัศเจรีย์” (exclamation mark hairs)
  • ในบางรายอาจร่วงทั่วศีรษะ (alopecia totalis) หรือทั่วร่างกาย (alopecia universalis)
  • เล็บอาจมีรอยบุ๋มหรือขีดขวางร่วมด้วยในบางกรณี

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคผมร่วงเป็นหย่อมส่วนใหญ่ใช้จากประวัติและการตรวจร่างกาย โดยมีลักษณะจำเพาะของรอยโรคและผลการตรวจเพิ่มเติมบางอย่าง ดังนี้:

  • การตรวจร่างกาย: พบผมร่วงเป็นหย่อม ผิวหนังบริเวณนั้นเรียบ ไม่มีรอยแผลเป็น และมีผมรูปอัศเจรีย์บริเวณขอบหย่อม
  • การตรวจด้วย dermatoscope: พบลักษณะเฉพาะ เช่น “yellow dots”, “black dots”, “tapering hairs”
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: อาจตรวจโรคภูมิต้านตนเองร่วม เช่น การตรวจ thyroid function, ANA test
  • การตรวจชิ้นเนื้อผิวหนัง: ทำในกรณีที่วินิจฉัยไม่แน่ พบการอักเสบรอบรากผม (peribulbar lymphocytic infiltration)

การวินิจฉัยแยกโรค

โรคที่ต้องแยกจาก ลักษณะสำคัญที่แตกต่าง
Telogen effluvium (ผมร่วงทั่วศีรษะจากความเครียด/ป่วย) ผมร่วงกระจายทั่วศีรษะ ไม่มีรอยเป็นหย่อม ผมงอกกลับได้เอง
Tinea capitis (เชื้อราบนหนังศีรษะ) มีสะเก็ด แดง คัน ตรวจพบเชื้อราด้วย KOH หรือเพาะเชื้อ
Trichotillomania (ดึงผมด้วยตนเอง) ผมร่วงไม่สม่ำเสมอ ความยาวผมไม่เท่ากัน มักสัมพันธ์กับปัญหาทางจิตใจ
Scarring alopecia (ผมร่วงแบบมีแผลเป็น) หนังศีรษะมีรอยแผลเป็น ผมไม่สามารถงอกกลับได้


การรักษา

การรักษาโรคผมร่วงเป็นหย่อมขึ้นอยู่กับความรุนแรงและขอบเขตของโรค โดยมีแนวทางดังนี้:

  1. ยาทาภายนอก:
    • คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทา (Topical corticosteroids)
    • Minoxidil 2–5% ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม
    • Diphencyprone (DPCP) หรือ squaric acid dibutylester (SADBE) สำหรับการรักษาแบบกระตุ้นภูมิ (immunotherapy)
  2. การฉีดยาเข้าบริเวณหนังศีรษะ:
    • Triamcinolone acetonide (intralesional corticosteroid) เป็นวิธีมาตรฐานในรายที่เป็นเฉพาะจุด
  3. ยารับประทาน:
    • คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดกินในรายรุนแรงหรือเป็นทั่วศีรษะ
    • ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น methotrexate, cyclosporine
    • ยากลุ่ม JAK inhibitors (เช่น baricitinib, tofacitinib) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในบางราย
  4. การสนับสนุนด้านจิตใจ:
    • ให้คำปรึกษาเพื่อลดความเครียดและเพิ่มความมั่นใจ
    • ใช้วิกหรือผ้าคลุมศีรษะในระยะผมร่วงมาก

พยากรณ์โรค

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีโอกาสที่ผมจะงอกกลับได้เองภายใน 6–12 เดือน โดยเฉพาะรายที่เป็นเพียงหย่อมเล็ก ๆ แต่บางรายอาจมีการกำเริบซ้ำหรือกลายเป็นแบบทั่วศีรษะหรือทั่วร่างกาย ซึ่งพยากรณ์โรคจะไม่ค่อยดี ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพยากรณ์โรคไม่ดี ได้แก่ การเริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อย ผมร่วงทั่วศีรษะ การมีโรคภูมิต้านตนเองร่วม หรือมีพยาธิสภาพของเล็บร่วมด้วย

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคผมร่วงเป็นหย่อมโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นโรคภูมิต้านตนเอง แต่สามารถลดโอกาสกำเริบได้ด้วยการดูแลสุขภาพและลดความเครียด เช่น

  • นอนหลับให้เพียงพอและจัดการความเครียด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล
  • ตรวจติดตามโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ หากมีอาการสงสัย

สรุป

โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) เป็นโรคภูมิต้านตนเองที่ทำให้ผมร่วงเป็นวงหรือทั่วศีรษะ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันโจมตีรากผมของตนเอง การวินิจฉัยส่วนใหญ่ทำได้จากลักษณะทางคลินิกและการตรวจเพิ่มเติมบางอย่าง การรักษาอาจใช้ยาทา ยาฉีด หรือยากินเพื่อกระตุ้นการงอกของผมและลดการอักเสบ แม้โรคนี้มักไม่เป็นอันตราย แต่มีผลต่อคุณภาพชีวิต ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจอย่างครบถ้วน เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ