จ้ำเลือดที่เกิดขึ้นเอง (Ecchymosis)

"จ้ำเลือด" ตามภาษาชาวบ้าน หมายถึง ภาวะเลือดออกใต้ผิวหนังที่มองเห็นได้ด้วยตา ซึ่งอาจเป็นเรื่องปกติหลังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่หากจ้ำเลือดเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ถูกกระทบกระแทก แสดงถึงความผิดปกติของร่างกาย เช่น ตับ ระบบเลือด หรือระบบภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีจ้ำเลือดเกิดขึ้นเองบ่อย ๆ ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ในทางการแพทย์ “จ้ำเลือด” มีชื่อเรียกแตกต่างกันตามลักษณะและขนาด ซึ่งสะท้อนกลไกการเกิดที่ต่างกัน ดังนี้

  1. Petechiae จุดเลือดออกเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง ขนาดไม่เกิน 2 มม. เกิดจากการรั่วของเลือดจากหลอดเลือดฝอย เช่น เมื่อมีแรงดันในหลอดเลือดเพิ่มขึ้นจากการไอ ยกของหนัก หรือเบ่งคลอดลูก นอกจากนี้ยังพบในภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ภาวะขาดวิตามินซี หรือโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น Epstein-Barr virus, CMV, ไข้เลือดออก, ไข้อีดำอีแดง (Scarlet fever), Rocky Mountain spotted fever หรือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง
  2. การแยกจุดเลือดออก (petechiae) ออกจากผื่นแดงทำได้โดยใช้แก้วใสกดบนผิวหนัง หากจุดแดงยังคงเห็นผ่านแก้ว แสดงว่าเป็นจุดเลือดออก แต่ถ้าจุดแดงหายไปเมื่อกดและกลับมาเมื่อยกแก้วออก แสดงว่าเป็นผื่น ซึ่งแนวทางรักษาจะแตกต่างกัน

  3. Purpura คือ จ้ำเลือดขนาดเล็กกว่า 1 ซม. เกิดจากการแตกหรือการอักเสบของหลอดเลือดขนาดเล็กใต้ผิวหนัง หากเป็นหลอดเลือดฝอยแตก จ้ำเลือดจะราบ แต่ถ้ามีการอักเสบของหลอดเลือด (vasculitis) จะคลำได้เป็นตุ่มนูน เรียกว่า “palpable purpura”
  4. สาเหตุของหลอดเลือดฝอยแตก ได้แก่

    • การกระแทกเพียงเล็กน้อยในผู้สูงอายุ (Senile purpura) เนื่องจากผิวหนังบางลงและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังหย่อนยาน ไม่สามารถปกป้องหลอดเลือดฝอยที่มาเลี้ยงที่ผิวหนังได้เหมือนคนหนุ่มสาว senile purpura ที่ใกล้จะหายอาจมีขนาดกว้างขึ้น เพราะเลือดเซาะไปทุกด้านที่หนังยาน
    • ความผิดปกติแต่กำเนิดของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น Ehlers-Danlos syndrome ทำให้เส้นเลือดเปราะ แตกง่าย
    • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาเคมีบำบัด
    • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำมาก หรือเกล็ดเลือดขาดคุณภาพ
    • ขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดจากโรคตับหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ
    • ภาวะขาดวิตามินซีรุนแรง

    สาเหตุของหลอดเลือดอักเสบ ได้แก่

  5. Ecchymosis คือ จ้ำเลือดขนาดใหญ่กว่า 1 ซม. แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
    • จ้ำเลือดแบนราบ มักเกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือด พบในโรคตับแข็ง หรือโรคฮีโมฟิเลีย
    • จ้ำเลือดที่มีจุดเนื้อตายสีดำตรงกลาง (Necrotic ecchymosis) เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการช็อก หมดสติ และมีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 90%


แนวทางการตรวจวินิจฉัย

แพทย์จะเริ่มจากซักประวัติอย่างละเอียด เช่น ประวัติเลือดออกผิดปกติในครอบครัว การมีเลือดออกในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น เลือดกำเดา เลือดออกในช่องปาก ถ่ายเป็นเลือด หรือเลือดออกในข้อ รวมถึงในสตรีจะสอบถามรอบเดือนและประวัติการตกเลือดหลังคลอด เพื่อประเมินความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด

จากนั้นจะสอบถามเรื่องยาที่ใช้อยู่ โดยผู้ป่วยควรนำยาทั้งหมดพร้อมฉลากไปให้แพทย์ดู เพราะมียาหลายชนิดที่ทำให้เกิดจ้ำเลือดได้ เช่น

  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin, Heparin
  • ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน, Plavix® (Clopidogrel), Dipyridamole
  • ยาแก้ปวดข้อหรือปวดกล้ามเนื้อ เช่น ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) และยาคลายกล้ามเนื้อ Metaxalone
  • ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม เช่น กลุ่ม Cephalosporins, กลุ่ม Penicillins
  • ยาต้านซึมเศร้าบางกลุ่ม เช่น กลุ่ม SSRIs, กลุ่ม TCAs
  • ยาอื่น ๆ เช่น Propothiouracil, Testosterone, Interferon, ยารักษาโรครูมาตอยด์กลุ่ม Gold และอาหารเสริมเช่นใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba)

หากพบว่ายาเป็นสาเหตุ แพทย์จะพิจารณาให้หยุดยาชั่วคราว

หลังจากนั้นจะตรวจร่างกายโดยละเอียด เช่น ตรวจภาวะซีด เหลือง ผิวหนัง ลักษณะของจ้ำเลือด ตรวจช่องปาก ข้อต่อ ตับ ม้าม และต่อมน้ำเหลือง

การตรวจทางห้องปฏิบัติการขั้นพื้นฐานที่ควรทำ ได้แก่

  • ตรวจนับเม็ดเลือด (CBC)
  • ตรวจระยะเวลาการแข็งตัวของเลือด (PT และ aPTT)
  • ตรวจการทำงานของตับ (LFT)
  • ตรวจการทำงานของไต (BUN & Cr) เพราะยาบางตัวจะออกฤทธิ์นานขึ้นในภาวะที่ไตเสื่อม

หากยังไม่พบความผิดปกติถึงค่อยตรวจเวลาที่เกล็ดเลือดใช้ในการรวมตัวกัน (Platelet Function Analyzer-100) หากทุกอย่างปกติหมดแพทย์อาจนัดติดตามอาการแบบผู้ป่วยนอกอีก 1-2 เดือน

หากผล CBC พบว่าเกล็ดเลือดต่ำ ควรตรวจไขกระดูกเพิ่มเติม

ถ้าค่า PT และ aPTT ผิดปกติ ให้นึกถึงโรคตับ การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือภาวะติดเชื้อรุนแรง (DIC) ซึ่งอาจต้องตรวจ fibrinogen และ D-dimer เพิ่มเติม

ถ้า PT ผิดปกติแต่ aPTT ปกติ ให้สงสัยภาวะขาดวิตามินเค โดยเฉพาะในผู้ป่วยขาดสารอาหาร หากฉีดวิตามินเคแล้วค่า PT ไม่ดีขึ้น ให้ส่งตรวจ Factor VII assay

ถ้า PT ปกติแต่ aPTT ผิดปกติ ให้ทำ Partial thromboplastin time mixing study หากค่ากลับเป็นปกติ แสดงว่าขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดฝั่งใน ควรส่งตรวจ Factor VIII, IX, XI และ vWF ต่อ แต่ถ้าไม่กลับเป็นปกติ ให้สงสัยภาวะมีสารต้าน เช่น lupus anticoagulant หรือ factor VIII inhibitor



แนวทางการรักษา

การรักษาต้องแก้ไขภาวะซีดหรือความผิดปกติของเลือดควบคู่กับการหาสาเหตุและรักษาที่ต้นเหตุ เช่น การหยุดยา การให้วิตามินหรือสารทดแทนปัจจัยการแข็งตัวของเลือด การรักษาโรคตับ หรือโรคติดเชื้อที่เป็นสาเหตุ

สรุป

จ้ำเลือดที่เกิดขึ้นเองอาจเป็นเพียงอาการเล็กน้อยแต่บางครั้งบ่งบอกถึงโรคร้ายแรง เช่น ความผิดปกติของตับ โรคเลือด หรือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด การแยกสาเหตุจากลักษณะของจ้ำเลือด (petechiae, purpura, ecchymosis) เป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัย ผู้ที่มีอาการนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือดอย่างละเอียด เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัย

บรรณานุกรม

  1. "Petechia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (5 พฤศจิกายน 2568).
  2. "Purpura." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (5 พฤศจิกายน 2568).
  3. "Ecchymosis." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (5 พฤศจิกายน 2568).
  4. Michael Ballas, et. al. 2008. "Bleeding and Bruising: A Diagnostic Work-up." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. 2008 Apr 15;77(8):1117-1124. (5 พฤศจิกายน 2568).