กลุ่มอาการเอ็มดีเอส (Myelodysplastic syndrome, MDS)
โรคนี้เป็นกลุ่มโรคของสเต็มเซลล์ในไขกระดูกที่ไม่สามารถพัฒนาเป็นเซลล์เม็ดเลือดเต็มวัยชนิดต่าง ๆ ได้ (defective differentiation) ลักษณะสำคัญคือมีเซลล์เม็ดเลือดในกระแสโลหิตน้อยขณะที่สเต็มเซลล์ไขกระดูกมีปริมาณมากโดยเฉพาะสายของเม็ดเลือดแดง (cytopenia with hypercellular marrow and erythroid hyperplasia) และสเต็มเซลล์เหล่านี้มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML ได้มากถึงร้อยละ 30 สมัยก่อนจึงเรียกกลุ่มโรคนี้ว่า "Preleukemia" หรือภาวะก่อนจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
กลุ่มอาการเอ็มดีเอสนี้พบบ่อยขึ้นในปัจจุบัน อาจเนื่องจากมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจสุขภาพมากขึ้น และมีแพทย์โลหิตวิทยาและพยาธิวิทยาคอยเจาะและตรวจไขกระดูกมากขึ้น ทางตะวันตกมักพบในคนสูงอายุ 70-80 ปี แต่ทางเอเชียจะเริ่มพบกลุ่มอาการนี้เร็วกว่า เฉลี่ยที่อายุ 57-60 ปี
สาเหตุของเอ็มดีเอสยังไม่ทราบชัด บางส่วนพบว่าสัมพันธ์กับการมียีนก่อมะเร็งในร่างกาย เช่น DNMT3A, TET2, ASXL1, TP53, RUNX1, SRSF2, และ SF3B1 ยีนเหล่านี้อาจได้รับมาจากพ่อแม่ หรืออาจเกิดขึ้นเองในช่วงชีวิตของผู้ป่วย บางส่วนพบว่าสัมพันธ์กับการได้รับสารก่อมะเร็ง เช่น ยาเคมีบำบัด รังสีตรวจรักษา เบนซีน (benzene) บุหรี่ ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ (ไม่มีแม้แต่ปัจจัยเสี่ยง)
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยเอ็มดีเอสมักมีอาการของภาวะเม็ดเลือดน้อยเรื้อรัง ได้แก่
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด จากเม็ดเลือดแดงน้อย
- มีไข้ ติดเชื้อง่าย จากเม็ดเลือดขาวต่ำ
- มีจุด/จ้ำเลือดตามผิวหนัง ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเละ ๆ หรือถ่ายเป็นเลือด จากเกล็ดเลือดต่ำ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดกระดูก
- ผื่นแดงตามผิวหนังเป็น ๆ หาย ๆ
- ม้ามโต
- ตับโต
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- เซลล์ในไขกระดูกมีรูปร่างผิดปกติ เช่น เม็ดเลือดแดงขนาดไม่เท่ากัน รูปร่างไม่กลม มี ringed sideroblasts; เม็ดเลือดขาวมี hypogranulation, hyposegmentation, condense chromatin, ring-shaped nuclei, nuclear sticks; เกล็ดเลือดมีขนาดเล็กหรือใหญ่มาก มีนิวเคลียสเล็ก ๆ มากกว่าหนึ่ง มีกรานูลลดลง เป็นต้น ลักษณะที่บอกถึงพยากรณ์โรคไม่ดีคือพบตัวอ่อน (blast cells) เป็นกลุ่มอยู่ตรงกลางไขกระดูกมากกว่าที่จะอยู่ที่ขอบ (endosteal surface)
การวินิจฉัยแยกโรค
เราแพทย์จะสงสัยกลุ่มอาการเอ็มดีเอสเมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดสายใดสายหนึ่งต่ำติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน โดยตัดโรคอื่นที่อาจทำให้มีเม็ดเลือดต่ำออกไปแล้ว โรคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเลือดและไขกระดูกคล้าย MDS ได้แก่
- ภาวะโลหิตจางจากการขาดสารอาหาร (Nutritional anemia) เช่น ขาด Vitamin B12 หรือ Folic acid หรือธาตุเหล็ก การวินิจฉัยต้องตรวจระดับ Vitamin B12, Folic acid, และปริมาณธาตุเหล็กในเลือด
- ภาวะโลหิตจางจากโรคพีเอ็นเอช (Paroxysmal nocturnal hemoglobinuria) ผู้ป่วยจะมีเม็ดเลือดแดงแตกเป็นพัก ๆ หลังเจ็บป่วยหรือรับประทานยาบางชนิด ช่วงที่เม็ดเลือดแดงแตกจะมีปัสสาวะเป็นสีชาเข้ม ซีดและอ่อนเพลียนลง การวินิจฉัยต้องตรวจ Ham's test, sugar water test, urine hemosiderin
- โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune diseases) เช่น SLE อาจมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากภูมิคุ้มกัน ร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ การวินิจฉัยต้องอาศัยอาการอื่นและการตรวจ ANA, Coombs' test
- ภาวะม้ามโต (Hypersplenism) จากโรคตับแข็ง ม้ามที่โตจะกินเม็ดเลือด การวินิจฉัยจะตรวจพบตาเหลือง ท้องมาน และอาการแสดงอื่นของโรคตับแข็ง
- ภาวะโลหิตจางจากโรคทางพันธุกรรม เช่น Hereditary sideroblastic anemia, congenital dyserythropoietic anemia, Fanconi's anemia, Diamond Blackfan syndrome, Down's syndrome, Schwachman's syndrome และ Kostmann's syndrome หากพบโลหิตจางเรื้อรังในเด็ก
- โรคไขกระดูกวาย (Aplastic anemia) ร้อยละ 10 ของ MDS จะมี hypocellular marrow คล้าย Aplastic anemia แต่การพบลักษณะ dyshemopoiesis รวมทั้งการตรวจโครโมโซมจะช่วยวินิจฉัย MDS
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CMML บางครั้ง monocytes อาจมีลักษณะที่แยกยากจากตัวอ่อนของ myeloid cells แต่การตรวจโครโมโซมจากไขกระดูกสามารถแยกได้เนื่องจากพบ t(9:22) ใน CML
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดแดง (Erythroleukemia) ซึ่งจะพบ erythroid cells > 50% ในไขกระดูก erythroblast มีลักษณะ dysplastic คล้าย megaloblast, มี multilobulated nuclei และพบตัวอ่อนของ non-erythroid cells > 30%
พยากรณ์โรค
การวินิจฉัยเอ็มดีเอสต้องเจาะตรวจไขกระดูกเท่านั้น ผู้ป่วยเอ็มดีเอสต้องมีตัวอ่อน (blasts) ในไขกระดูก < 20% หากเกินกว่านี้จะถือเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้ว
นอกจากนั้นต้องส่งตรวจ flow cytometry, immunocytochemistry, chromosome test เพื่อแยกโรคอื่นออกไปด้วย
ปีค.ศ. 2016 องค์การอนามัยโลกได้แบ่งกลุ่มอาการเอ็มดีเอสออกเป็น 6 ลักษณะตามที่เห็นจากเซลล์ในไขกระดูก คือ
- MDS with multilineage dysplasia (MDS-MLD) คือมี dysplasia ≥ 10% ของเซลล์ในไขกระดูกตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป (อาจเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือด) มี blasts ในไขกระดูก < 5% และในกระแสโลหิตมีปริมาณเม็ดเลือดอย่างน้อย 1 ชนิดต่ำเรื้อรัง เป็นลักษณะที่พบบ่อยที่สุด
- MDS with single lineage dysplasia (MDS-SLD) คือมี dysplasia ≥ 10% ของเซลล์ในไขกระดูกเพียง 1 ชนิด (อาจเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือด) มี blasts ในไขกระดูก < 5% และในกระแสโลหิตมีปริมาณเม็ดเลือดอย่างน้อย 1 ชนิดต่ำเรื้อรัง เป็นกลุ่มที่พบน้อย แต่ส่วนใหญ่อยู่ได้นานหลายปีแม้จะไม่ได้รักษา
- MDS with ring sideroblasts (MDS-RS) คือมีตัวอ่อนของเม็ดเลือดแดงในไขกระดูกเป็น ring sideroblasts >15% หรือ >5% ถ้ามียีน SF3B1 เป็นกลุ่มที่พบน้อย พยากรณ์โรคดีที่สุด ไม่ค่อยกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- MDS with excess blasts (MDS-EB) คือมีตัวอ่อนของเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก >5% หรือในกระแสโลหิต >2% เป็นกลุ่มที่กลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML มากที่สุด
- MDS with isolated del(5q) คือมีโครโมโซมผิดปกติของเซลล์ในไขกระดูก เป็นกลุ่มที่พยากรณ์โรคดี มักพบในเพศหญิง
- MDS, unclassifiable (MDS-U) คือเอ็มดีเอสที่มีลักษณะนอกเหนือจาก 5 กลุ่มข้างต้น พบได้ไม่มาก
พยากรณ์โรคของเอ็มดีเอสขึ้นกับปริมาณตัวอ่อนในไขกระดูก เม็ดเลือดในกระแสเลือด และความผิดปกติของยีน ดังรูปข้างล่าง
การรักษาเอ็มดีเอส
การรักษาเอ็มดีเอสขึ้นกับว่าเป็นกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ และมีสุขภาพโดยรวมดีเพียงไร
ผู้ป่วยบางรายที่ปริมาณเม็ดเลือดไม่ต่ำมากและไม่มีอาการอะไรอาจไม่ต้องรักษา เพียงเฝ้าติดตามผลเลือดอยู่เสมอ ผู้ป่วยที่มีอาการของภาวะเม็ดเลือดต่ำ แต่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวน้อย ก็อาจได้รับเพียงการรักษาตามอาการและติดตามผลเลือดเป็นระยะ ๆ โดยทั่วไปแนวทางการรักษาเอ็มดีเอสจะประกอบด้วย
- การรักษาตามอาการ ได้แก่
- การให้เลือดหรือเกล็ดเลือดชดเชย
- การให้ iron chelating agents (เช่น Deferoxamine ฉีด หรือ Deferasirox รับประทาน) เพื่อกำจัดเหล็กส่วนเกินออกจากร่างกาย จากการให้เลือดบ่อย
- การให้ยากลุ่ม antifibrinolytic agent (เช่น aminocaproic acid) เพื่อช่วยแก้ภาวะเลือดออก หากยังไม่ดีขึ้นจากการเติมเกล็ดเลือด
- การให้ยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อซ้ำซ้อน
- การฉีดยากระตุ้นไขกระดูก ได้แก่
- ยา erythropoietin กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
- ยา G-CSF, filgrastim, Neupogen, GM-CSF, sargramostim, Leukine กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว
- ยา romiplostim, eltrombopag, oprelvekin กระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือด
- การให้ยาเคมีบำบัด ได้แก่
- ยากลุ่ม Hypomethylating agents (เช่น Azacitidine [Vidaza®], Decitabine [Dacogen®]) ฉีดเพื่อกระตุ้นยีนให้พัฒนาเซลล์ให้โตเต็มที่ ยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงคล้ายยาเคมีบำบัดทั่วไป คือ ทำลายเม็ดเลือด คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย
- ยากลุ่มที่รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว คือ cytarabine ± Idarubicin หรือ Daunorubicin จะให้ในรายที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงเท่านั้น ยากลุ่มนี้ทำให้ผมร่วง เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำ ซีด มีแผลในปาก คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ยา Idarubicin และ Daunorubicin มีพิษต่อหัวใจด้วย หลังให้ยากลุ่มนี้ต้องตรวจเลือดติดตามระดับของเม็ดเลือดให้ดี และต้องรีบให้ยาปฏิชีวนะครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียหากมีไข้ขึ้นด้วย
- ยากลุ่ม Immunomodulating drugs (IMiDs) ได้แก่ Lenalidomide (Revlimid®) เป็นยาที่ใช้ได้ดีในเอ็มดีเอสกลุ่ม del(5q) เพราะช่วยลดจำนวนครั้งของการให้เลือด แต่มักทำให้เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำแทน บางรายอาจมีปัญหาท้องเสีย อ่อนเพลีย ขาบวม/ปวดจากหลอดเลือดดำอุดตัน (deep vein thrombosis) หรือเหนื่อยหอบจากหลอดเลือดดำที่ปอดอุดตัน (pulmonary thromboembolism) และมีรายงานทารกพิการแต่กำเนิดถ้าให้ในหญิงมีครรภ์
- ยากลุ่ม Immunosuppressive agents ได้แก่ Anti-thymocyte globulin (ATG) ± Cyclosporin เป็นสูตรยาที่ใช้ได้ดีในเอ็มดีเอสชนิด hypocellular marrow แต่ต้องระวังเรื่องการแพ้ ATG จนช็อค และพิษต่อไตของ Cyclosporin
- การปลูกถ่ายไขกระดูก ถือเป็นการรักษาเอ็มดีเอสอย่างเดียวที่มีโอกาสหายขาด แต่ไม่สามารถทำได้ทุกราย เพราะผู้ป่วยต้องได้รับยาเคมีบำบัดขนาดสูงเพื่อฆ่าทุกเซลล์ในไขกระดูกก่อนที่จะปลูกถ่ายเซลล์ของผู้อื่นเข้าไป
โดยทั่วไปการปลูกถ่ายไขกระดูกมี 2 แบบ คือ ให้เซลล์ของผู้อื่น (Allogeneic stem cell transplant) กับใช้เซลล์ของตัวเองที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้ (Autologous stem cell transplant) เนื่องจากไขกระดูกของผู้ป่วยเอ็มดีเอสเป็นเซลล์ไม่สมประกอบ การปลูกถ่ายจึงนิยมใช้ไขกระดูกของผู้อื่น ซึ่งมีอันตรายมากจากการที่ต้องให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงก่อน ผู้ป่วย 1 ใน 3 เสียชีวิตก่อนที่จะทำสำเร็จ อีก 1 ใน 3 เสียชีวิตหลังจากนั้น จากการติดเชื้อเพราะต้องได้รับยากดภูมิต่ออีกเป็นเวลานาน หรือเกิดภาวะปฏิเสธเซลล์ปลูกถ่าย (Graft-versus-host disease) ในระยะยาว ดังนั้น การคัดเลือกผู้ป่วยเข้ารับการปลูกถ่ายไขกระดูกจึงสำคัญมาก ส่วนใหญ่แพทย์จะเลือกผู้ป่วยที่
- อายุ < 75 ปี
- ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง ไม่ใช่ผู้ป่วยนอนติดเตียง
- เป็นเอ็มดีเอสชนิดที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (AML) ได้สูง หรือมีภาวะมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง (CMML) แล้ว
- มี IPSS score ตั้งแต่ 1.5 ขึ้นไป
- ดื้อต่อยาเคมีบำบัด
- มีผู้บริจาคไขกระดูกที่มี HLA เข้าได้กับผู้ป่วย
- พร้อมทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและผู้ดูแลยามเจ็บป่วย
บรรณานุกรม
- Gamal Abdul Hamid, et. al. 2019. "Diagnosis and Classification of Myelodysplastic Syndrome
." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา IntechOpen. (3 พฤศจิกายน 2562).
- "Stem Cell Transplant for Myelodysplastic Syndrome." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Cancer.org. (3 พฤศจิกายน 2562).
- "Myelodysplastic Syndrome." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia (9 พฤศจิกายน 2562).
- "Myelodysplastic Syndrome." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Mayo Clinic (9 พฤศจิกายน 2562).
- อภิชัย ลีละสิริ และ ถนอนศรี ศรีชัยกุล. 2543. "Myelodysplastic Syndrome." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา รพ.พระมงกุฏเกล้าฯ (9 พฤศจิกายน 2562).