เนื้องอกที่อัณฑะ (Testicular tumors)
ก้อนที่อัณฑะมีได้หลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การบวมจากอุบัติเหตุ, การอักเสบติดเชื้อ, เส้นเลือดขอดที่อัณฑะ (Varicocele), ถุงน้ำที่อัณฑะ (Hydrocele), เนื้องอกไม่ร้าย, และมะเร็งอัณฑะ นอกจากนั้นยังมีสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับอัณฑะเลย เช่น ไส้เลื่อนที่ไหลลงมาในถุงอัณฑะ หรือภาวะท้องมานที่มีน้ำไหลมาขังในถุงอัณฑะด้วย ทำให้ถุงอัณฑะโตขึ้นดูคล้ายก้อนได้ การตรวจอัลตราซาวด์บริเวณอัณฑะจะแยกได้ว่าเป็นน้ำ ถุงน้ำ ก้อนเนื้อ หรือเป็นเส้นเลือดขอดได้ ก้อนเนื้อที่มีอาการปวดมักเป็นจากการอักเสบติดเชื้อ (Epididymo-orchitis) ถ้าไม่ปวดเลยก็มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งอัณฑะได้สูง แพทย์จะแนะนำให้ทำการตัดอัณฑะเพื่อส่งตรวจชิ้นเนื้อต่อไป
การตรวจชิ้นเนื้อที่อัณฑะมักตัดทั้งลูก การจิ้มเข็มหรือกรีดเพื่อเอาชิ้นเนื้อแต่เพียงบางส่วนอาจมีความเสี่ยงในการเพิ่มระยะของโรคได้ เนื่องจากระบบเลือดดำและน้ำเหลืองของลูกอัณฑะกับของถุงอัณฑะเป็นคนละระบบกัน ของเสียจากถุงอัณฑะจะไหลเข้าระบบหลอดเลือดฝอยส่วนผิว (ทางซ้ายของรูป) ส่วนของเสียจากลูกอัณฑะและท่อนำอสุจิจะไหลเข้าระบบหลอดเลือดส่วนลึก (ทางขวาของรูป) ซึ่งยังแบ่งย่อยไปอีกเป็น 3 กลุ่ม คือ ด้านหน้า (A) ตรงกลาง (M) และด้านหลัง (P) ดังนั้นการตรวจชิ้นเนื้อที่ทำผ่านผนังถุงอัณฑะเพื่อเข้าไปหาลูกอัณฑะอาจส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งออกมาทางระบบหลอดเลือดฝอยส่วนผิวได้ง่ายขึ้น จะสังเกตได้ว่าเวลาที่แพทย์ทำการตัดอัณฑะในผู้ป่วยที่สงสัยมะเร็งอัณฑะนั้น มักจะลงแผลผ่าตัดที่บริเวณขาหนีบ ไม่ได้ลงแผลผ่าตัดที่อัณฑะเหมือนการผ่าตัดในโรคอื่น ๆ ของอัณฑะที่ไม่ใช่มะเร็ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเปลี่ยนระยะของโรคนั่นเอง ดังนั้นการตัดอัณฑะในลักษณะนี้จะเป็นทั้งการตัดเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาไปพร้อม ๆ กันในคราวเดียว
เนื้องอกไม่ร้ายของลูกอัณฑะ (Benign testicular tumors)
เนื้องอกไม่ร้ายของลูกอัณฑะพบน้อยกว่าเนื้องอกร้ายมาก และบางชนิดยังสามารถกลายเป็นมะเร็งได้ในภายหลัง ตัวอย่างเนื้องอกไม่ร้ายของลูกอัณฑะได้แก่
- Teratoma เนื้องอกชนิดนี้ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิด ทั้งที่เจริญเติบโตเต็มที่ (mature teratoma) และที่ยังไม่เจริญเติบโต (immature teratoma) พวกที่มาจากกลุ่มเซลล์ที่เจริญเติบโตเต็มที่จะพบกระดูก, กระดูกอ่อน, กล้ามเนื้อ, ส่วนของอวัยวะภายในต่าง ๆ, ผิวหนัง, และต่อมต่าง ๆ อยู่ภายในก้อน ไม่ค่อยกลายเป็นมะเร็ง แต่อาจพบเนื่อเยื่อของมะเร็งชนิดอื่นปรากฏร่วม เช่น rhabdomyosarcoma, squamous cell carcinoma, adenocarcinoma เป็นต้น ส่วนพวกที่มาจากกลุ่มเซลล์ที่ยังไม่เจริญเติบโตจะพบเซลล์อ่อนคล้ายที่พบในระยะครรภ์อ่อน ๆ และมักมีพฤติกรรมแบบเนื้อร้ายร่วมด้วยเสมอ คือลามเข้ากระแสเลือดและไปสู่อวัยวะต่าง ๆ
- Leydig (interstitial) cell tumors เป็นเนื้องอกที่เกิดจาก เซลล์เลดิก (Leydig) พบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณร้อยละ 2 ของเนื้องอกที่ลูกอัณฑะทั้งหมด เนื้องอกชนิดนี้สามารถสร้างฮอร์โมนเพศได้ทั้ง androgen, estrogen, และ corticosteroid ทำให้ผู้ป่วยมาด้วยอาการของลูกอัณฑะบวมโตหรือนมโต หากเกิดในเด็กเล็กจะทำให้เป็นหนุ่มเร็วกว่าปกติ มีเครื่องเพศใหญ่ มีขนขึ้นตามอวัยวะเพศและรักแร้ เสียงห้าว และทำให้หยุดการสร้างกระดูกแขนและขา ร่างกายจะเตี้ยแคระ
พยาธิสภาพจะพบเซลล์เลดิกขนาดใหญ่ มีรูปร่างกลมหรือเป็นเหลี่ยม ภายในประกอบด้วยเม็ดสีแดง เม็ดไขมันกลมใส และแท่งผลึก Reinke's crystals ในไซโตพลาสม์ มีนิวเคลียส 2-3 อันอยู่ตรงกลางเซลล์ ร้อยละ 10 ของเนื้องอกชนิดนี้จะแสดงเป็นเนื้อร้าย
- Sertoli cell tumors (androblastoma) ส่วนใหญ่พบในทารกและเด็กเล็ก ถ้าพบในรังไข่จะเรียกว่า arrhenoblastoma ถ้าพบในลูกอัณฑะจะเรียกว่า androblastoma เนื้องอกชนิดนี้อาจสร้างฮอร์โมนเพศ ทำให้เกิดเต้านมโต ร้อยละ 10 ของเนื้องอกชนิดนี้จะแสดงเป็นเนื้อร้าย
- Adenomatoid Tumors เป็นเนื้องอกของลูกอัณฑะตรงบริเวณ epididymis และอาจพบได้ที่ tunica vaginalis, spermatic cord, ที่ผนังมดลูก ปีกมดลูก และรังไข่ได้ มักเป็นก้อนขนาดเล็ก ขนาด 2-3 ซม. มีขอบเขตของก้อนชัดเจน และหุ้มด้วยแคปซูลค่อนข้างแข็ง มีสีขาวเทา ไม่กลายเป็นมะเร็ง
มะเร็งอัณฑะ (Testicular cancer)
มะเร็งอัณฑะเป็นมะเร็งที่พบได้น้อยเพียงประมาณ 2% ของมะเร็งทั้งหมดทั่วร่างกาย ในประเทศไทยไม่ติด 1 ใน 10 ของมะเร็งที่พบบ่อยของผู้ชายไทย อายุที่พบจะอยู่ระหว่าง 15-40 ปี ซึ่งต่างจากมะเร็งส่วนใหญ่ที่มักพบในกลุ่มคนสูงอายุ อาการคือมีก้อนหนัก ๆ ที่อัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง ส่วนใหญ่ไม่เจ็บ อาการเจ็บอาจมีบ้างแต่ไม่รุนแรง บางรายอาจมาด้วยปัญหามีบุตรยาก ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือภาวะที่ลูกอัณฑะไม่เลื่อนลงถุงอัณฑะ (cryptorchidism) ซึ่งเป็นความผิดปกติมาแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง อัณฑะที่ค้างอยู่ในช่องท้องถ้าได้รับการผ่าตัดย้ายมาลงถุงตั้งแต่เด็กจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
มะเร็งอัณฑะร้อยละ 95 มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์สืบพันธุ์ ได้แก่ Seminoma, Spermatocytic seminoma, Embryonal carcinoma, Yolk sac tumor (infantile embryonal carcinoma, endodermal sinus tumor), Polyembryoma, Choriocarcinoma ถ้าเป็นพวก embryonal tumors จะตรวจเลือดพบ alpha-fetoprotein (AFP) ขึ้นสูง ถ้าเป็น Choriocarcinoma จะพบ beta HCG ขึ้นสูง และเป็นมะเร็งที่ค่อนข้างร้ายกว่ามะเร็งลูกอัณฑะชนิดอื่น ๆ ผู้ป่วยมักมีเต้านมโตด้วย
มะเร็งรูปผสม (Mixed germ cell tumors) ก็พบได้บ่อย ประกอบด้วยมะเร็งหลายชนิดข้างต้นผสมรวมกัน
อีกร้อยละ 5 ของมะเร็งอัณฑะจะเป็นมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองที่เกิดกับลูกอัณฑะ มักเป็นสาเหตุนำในการเกิดมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองของอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายภายใน 2 ปี
หากผลชิ้นเนื้อออกมาว่าเป็นมะเร็ง ในทางคลินิกจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่ม Seminoma และกลุ่ม Nonseminoma มะเร็งอัณฑะกลุ่ม Seminoma จะตอบสนองดีต่อรังสีรักษา และมีการพยากรณ์โรคที่ดีกว่ากลุ่ม Nonseminoma หากภายในก้อนมะเร็งพบทั้งเซลล์ที่เป็น seminoma และ nonseminoma จะถูกประเมินความรุนแรงและวางแผนการรักษาเสมือนมันเป็นกลุ่ม Nonseminoma
ความรุนแรงของกลุ่ม Nonseminoma จะประเมินจากระดับของ Alpha-fetoprotein (AFP), Human chorionic gonadotropin (hCG), และ Lactate dehydrogenase (LDH) ที่สูงขึ้นในเลือด ร่วมกับระยะของโรคเอง ถ้าค่า AFP < 1,000 ng/mL, ค่า hCG < 5,000 mIU/mL, และค่า LDH < 1.5 เท่าของค่าปกติจะมีพยากรณ์โรคดีกว่ารายที่มีค่าเกินกว่านี้เมื่อเทียบในระยะเดียวกัน
ระยะของมะเร็งอัณฑะ
มะเร็งอัณฑะเป็นโรคที่มีความรุนแรงต่ำ มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง จึงจัดแบ่งออกเป็นเพียง 3 ระยะใหญ่ ๆ คือ
- ระยะที่ I เซลล์มะเร็งอยู่เฉพาะในอัณฑะ ยังไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ II เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง
- ระยะที่ III โรคลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องร่วมกับมีสารมะเร็งปริมาณสูงในเลือด หรือ โรคกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองนอกช่องท้อง เช่น ต่อมน้ำเหลืองในช่องอก หรือเหนือกระดูกไหปลาร้า หรือ โรคแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด สมอง
แนวทางการรักษา
ผู้ป่วยทุกรายที่พบมีก้อนเนื้อที่อัณฑะจากอัลตราซาวด์ต้องได้รับการตัดลูกอัณฑะทั้งก้อนของข้างนั้นผ่านทางขาหนีบ แพทย์จะไม่ลงมีดผ่าตัดผ่านทางถุงอัณฑะหรือไม่ทำแค่การสุ่มชิ้นเนื้อเพียงบางส่วนมาตรวจ ถ้าผลชิ้นเนื้อออกมาว่าไม่ใช่เนื้อร้าย การรักษาก็จะสิ้นสุดลง ถ้าออกมาว่าเป็นมะเร็ง จะได้รับการรายงานชนิดของเซลล์มะเร็งที่พบทั้งหมด และผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT หรือ MRI) เพื่อประเมินระยะของโรคให้แน่ชัด หากพบว่ามีการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องแล้วจะได้รับการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเลาะเอาต่อมน้ำเหลืองภายในช่องท้องออกให้หมด
หลังการผ่าตัดครั้งที่สอง ในกลุ่มของ Seminoma จะได้รับเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาเสริม (แม้ในระยะที่ I เพื่อให้แน่ใจว่าจะหายขาด) ส่วนในกลุ่มของ Nonseminoma จะให้เคมีบำบัดเป็นหลัก
การรักษาเหล่านี้จะทำให้ลูกอัณฑะอีกข้างสร้างสเปิร์มได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ พบว่าร้อยละ 50 จะไม่สามารถสร้างได้อีกเลยหลังรักษาไปแล้ว 2 ปี ดังนั้นผู้ป่วยที่ยังต้องการจะมีบุตรอาจทำการเก็บสเปิร์มไว้ในรูปของ semen cryopreservation ก่อนที่จะเริ่มขบวนการรักษา