โรคแอคติโนมัยโคสิส (Actinomycosis)

โรคแอคติโนมัยโคสิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในตระกูล Actinomycetes โดยเฉพาะกลุ่ม Actinomyces ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมบวก มีลักษณะเป็นเส้นใยแตกกิ่งก้านคล้ายเชื้อรา โตช้า ไม่ทนต่อออกซิเจน สามารถเพาะเลี้ยงได้ในสภาวะแอนแอโรบ และไม่ติดสี acid-fast

เชื้อเหล่านี้เป็นเชื้อประจำถิ่นของร่างกาย พบได้ในช่องปาก ทางเดินหายใจ ลำไส้ และช่องคลอด รวมถึงในสัตว์ เช่น วัวและควาย ปกติจะไม่ก่อโรค เว้นแต่เมื่อเยื่อบุถูกทำลายจนเชื้อสามารถแทรกเข้าเนื้อเยื่อได้ ชนิดที่พบก่อโรคในคนมากที่สุดคือ Actinomyces israelii ซึ่งมักติดเชื้อร่วมกับเชื้อแอนแอโรบชนิดอื่น เช่น Actinobacillus, Peptostreptococcus, Prevotella, Bacteroides, และ Enterobacteriaceae เมื่อเชื้อเข้าสู่เนื้อเยื่อ จะทำให้เกิดการทำลายจนเป็นโพรงหนองและทะลุออกมาที่ผิวหนัง (sinus tract) โรคนี้มักเป็นฝีเรื้อรังเฉพาะที่ ไม่ค่อยแพร่เข้าสู่กระแสเลือดหรือน้ำเหลือง ยกเว้นในผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ ในหนองมักพบก้อนเล็ก ๆ สีครีม แตกง่าย คล้ายผงกำมะถัน เรียกว่า sulfur granules ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้

อาการของโรค

อาการของโรคแอคติโนมัยโคสิสแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบหลัก ได้แก่

  1. ฝีที่ลำคอและใบหน้า (Cervicofacial form) พบมากที่สุด (50-70%) มักเกิดหลังเยื่อบุช่องปากได้รับบาดเจ็บ เชื้อจะฝังตัวในเนื้อเยื่อ เกิดเป็นก้อนบวมแข็ง โรคดำเนินช้าในระยะหลายเดือน ก้อนจะโตขึ้นและอ่อนตัวคล้ายฝี ก่อนแตกออกสู่ผิวหนัง บางครั้งกระดูกบริเวณนั้นถูกทำลายจนพรุนหรือบางลง (osteolysis) และตรวจเอกซเรย์พบซีสต์ ซึ่งช่วยยืนยันการวินิจฉัย
  2. ฝีในปอด (Thoracic form) พบประมาณ 15-20% มักเกิดจากการสำลักสิ่งคัดหลั่งในช่องปากลงสู่ปอด หรือจากการลุกลามของเชื้อ ผู้ป่วยมีอาการคล้ายวัณโรค เช่น ไข้ต่ำเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนหนองหรือเลือด เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย น้ำหนักลด ภาพรังสีมักพบโพรงหนองในปอด
  3. ฝีในช่องท้อง (Abdominal form) พบประมาณ 10-20% ผู้ป่วยหลายรายมีประวัติผ่าตัดในช่องท้อง หรือมีการกลืนสิ่งแปลกปลอม รวมถึงการใส่ห่วงคุมกำเนิดเป็นเวลานาน อาการคือ มีก้อนในท้อง กดเจ็บ โตช้า ๆ ร่วมกับไข้ต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด คล้ายมะเร็งลำไส้ บางครั้งหนองอาจแตกออกมาที่ผิวหนัง
  4. แผลปฐมภูมิที่ผิวหนัง (Primary cutaneous form) พบไม่บ่อย มักเกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ของมีคมปนเชื้อทิ่มตำ ถูกสัตว์กัด หรือคนกัด รอยโรคมักเป็นก้อนนูน กดเจ็บ ต่อมาจะแตกออกมีรูเปิดเล็ก ๆ มีหนองและโคโลนีของเชื้อไหลออกมา

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบ ได้แก่ การติดเชื้อที่กระดูก ฝีในสมองและไขสันหลัง ฝีในตับ และเยื่อบุหัวใจอักเสบ (Endocarditis)



การวินิจฉัยโรค

โรคแอคติโนมัยโคสิสเป็นโรคเรื้อรังที่ก่อให้เกิดก้อนชนิด granuloma และมีหนองไหลออกมา จึงต้องวินิจฉัยแยกโรคจาก ฝีทั่วไป วัณโรคผิวหนัง ซิฟิลิสระยะกัมมา Granuloma inguinale Mycetoma และมะเร็งผิวหนังบางชนิด หากเกิดในปอดควรแยกโรคจาก โนคาร์ดิโอสิส (Nocardiosis)

เบื้องต้น หากพบหนองที่มีตะกอนสีเหลืองครีม (sulfur granules) และผลย้อม Gram พบเชื้อแกรมบวกแตกแขนง แต่ไม่ติดสี acid-fast ควรสงสัยโรคนี้ ยิ่งหากภาพรังสีพบซิสต์ที่กระดูกบริเวณรอยโรค การวินิจฉัยยืนยันต้องอาศัยการเพาะเชื้อในสภาวะแอนแอโรบ หรือการตรวจชิ้นเนื้อพบลักษณะโคโลนีเฉพาะ

การรักษา

การรักษาโรคนี้ใช้เวลานานอย่างน้อย 2 เดือน โดยอาศัยการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการผ่าตัดระบายหนอง ยาที่ได้ผล ได้แก่ Penicillin, Tetracycline, Erythromycin และ Clindamycin

แนวทางมาตรฐานคือให้ Penicillin ฉีดในโรงพยาบาลนาน 4-6 สัปดาห์ จากนั้นรับประทานต่อจนกว่าหนองจะแห้งและรูเปิดปิดสนิท บางรายอาจต้องใช้ยาต่อเนื่องนานถึง 1 ปี

การป้องกัน

เนื่องจากเป็นการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อประจำถิ่นของผู้ป่วยเอง การป้องกันที่สำคัญคือการรักษาสุขอนามัยในช่องปาก และระมัดระวังการรับประทานอาหาร ปัจจุบันยังไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน

สรุป

โรคแอคติโนมัยโคสิสเป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังที่เกิดจากแบคทีเรียแกรมบวก Actinomyces ซึ่งมักก่อโรคเมื่อเยื่อบุร่างกายถูกทำลาย รูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือที่ลำคอและใบหน้า อาการสำคัญคือก้อนบวมเรื้อรังที่แตกเป็นรูเปิดออกสู่ผิวหนัง หนองที่ไหลออกมามักพบลักษณะเฉพาะคือ sulfur granules การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานร่วมกับการผ่าตัด แม้โรคนี้ไม่ติดต่อระหว่างบุคคล แต่สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม