โรคหัดเยอรมัน (Rubella, German measles)
โรคหัดเยอรมันเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้และผื่นคล้ายโรคหัด แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า มักพบในเด็กโต ลักษณะเด่นคือผื่นจะขึ้นหลังจากไข้ลดลง การติดต่อเกิดจากการสูดละอองเชื้อที่ปะปนในอากาศ หรือสัมผัสเสมหะของผู้ป่วย ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนมักมีภูมิคุ้มกันถาวร สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงสูงต่อการพิการแต่กำเนิดหรือเกิดภาวะหัดเยอรมันแต่กำเนิด (Congenital Rubella Syndrome: CRS)
อาการของโรค
โรคหัดเยอรมันมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 สัปดาห์ บางราย โดยเฉพาะเด็กเล็ก อาจไม่มีอาการ แต่ในรายที่มีอาการมักพบไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว น้ำมูก เจ็บคอ และไอเล็กน้อย โดยทั่วไปเยื่อบุในคอจะดูสะอาด ไม่พบ Koplik's spots แบบที่เห็นในโรคหัด และอาจมีตาแดงร่วมด้วย อาการเหล่านี้มักอยู่เพียง 1-7 วัน
เมื่อเข้าสู่ระยะผื่นขึ้น ไข้และอาการเจ็บคอจะหายไป ผื่นจะเริ่มจากใบหน้า (หน้าผาก กกหู รอบปาก) แล้วลามไปยังคอ ลำตัว และแขนขาภายในวันเดียว ผื่นมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีชมพูอ่อน แตกต่างจากผื่นของไข้อีดำอีแดงที่แดงจัด ผื่นของโรคหัดเยอรมันมักหายเองภายใน 3 วัน
ลักษณะเด่นที่พบได้บ่อยคือ ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะที่หลังกกหู หลังคอ และรักแร้ มักไม่เจ็บในเด็ก แต่ผู้ใหญ่อาจเจ็บบ้าง ต่อมน้ำเหลืองที่โตมักเกิดขึ้นก่อนผื่นและยังคงโตอยู่หลายวันแม้ผื่นหายแล้ว
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ ข้ออักเสบ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ มักเกิดที่ข้อเล็ก ๆ ของนิ้วมือ มีอาการบวม แดง ร้อน เจ็บ มักเกิดในช่วงผื่นขึ้นและคงอยู่นานหลายวันถึงหลายสัปดาห์ บางรายอาจมีอาการปวดหลายข้อคล้ายโรคไข้รูห์มาติค
นอกจากนี้ยังมีรายงาน ภาวะสมองอักเสบ ซึ่งพบไม่บ่อย โดยมักเกิดภายใน 1-2 วันหลังผื่นขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง ซึม และชัก แต่ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายในเวลาไม่นาน
การวินิจฉัย
ผู้ป่วยโรคหัดเยอรมันส่วนใหญ่จะไปพบแพทย์ในช่วงที่ผื่นออกเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยสาเหตุของผื่น เพราะช่วงที่มีอาการนำจะเป็นน้อยมาก แทบไม่รู้สึกว่าป่วยเลย หากคลำพบต่อมน้ำเหลืองที่คอ, ลักษณะของผื่นเป็นสีชมพูอ่อน, และตรวจไม่พบไข้แล้ว ให้นึกถึงโรคหัดเยอรมันไว้ ในผู้ป่วยหญิงต้องดูว่ากำลังตั้งครรภ์หรือไม่
การวินิจฉัยที่แน่ชัดทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีต่อเชื้อหัดเยอรมัน 2 ครั้ง ห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์ หากไตเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า ถือว่าเป็นการติดเชื้อเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม หากตรวจหลังจากผื่นหายเกิน 3 สัปดาห์ แอนติบอดีจะขึ้นเต็มที่และคงอยู่ได้นาน จึงบอกไม่ได้ว่าเป็นการติดเชื้อใหม่หรือเป็นภูมิคุ้มกันเดิม
สิ่งสำคัญคือต้องแยกโรคหัดเยอรมันออกจากผื่นแพ้ยา โดยอาศัยประวัติการใช้ยาและการตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งมักไม่พบในผู้ที่แพ้ยา
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับโรคหัดเยอรมัน การรักษาส่วนใหญ่เป็นแบบประคับประคอง ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการน้อย ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ยกเว้นในรายที่มีอาการข้ออักเสบ อาจให้ยาลดอาการปวดข้อ ส่วนภาวะสมองอักเสบที่พบได้น้อย จะรักษาตามอาการจนกว่าจะหาย
การป้องกัน
การป้องกันที่สำคัญคือ ป้องกันหัดเยอรมันแต่กำเนิด เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อแม้ไม่มีอาการ ก็สามารถส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ วัคซีน MMR ซึ่งฉีดให้เด็กทั่วไปสามารถป้องกันโรคหัดเยอรมันได้ยาวนานหลายสิบปี สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดหรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ
สรุป
โรคหัดเยอรมันเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีอาการไม่รุนแรงในเด็กและผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ แต่หากเกิดในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก อาจทำให้ทารกมีความพิการรุนแรงได้ การวินิจฉัยทำได้จากอาการแสดงและการตรวจแอนติบอดี การรักษาส่วนใหญ่เป็นแบบประคับประคอง และการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการฉีดวัคซีน MMR ร่วมกับการระมัดระวังในหญิงตั้งครรภ์