ไข้เลือดออก (Acute hemorrhagic fever)
ไข้เลือดออกในประเทศไทยมีสาเหตุหลักจากเชื้อไวรัส 2 ชนิด คือ Dengue virus และ Chikungunya virus ทั้งสองชนิดมียุงลายเป็นพาหะ ยุงชนิดนี้จะขยายพันธุ์ในน้ำสะอาดที่ขังนิ่งในภาชนะ ออกกัดคนในเวลากลางวัน จำนวนยุงจะมีมากที่สุดในต้นฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม) ทำให้มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นในช่วงสองเดือนถัดมา โรคไข้เลือดออกนี้ยังไม่มียาฆ่าไวรัสโดยเฉพาะ มีทางเดียวคือป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีอาการหนักจนเลือดออก ช็อก และอาจเสียชีวิต มักเกิดจากเชื้อ Dengue ที่เป็นการติดเชื้อครั้งที่สอง เชื้อนี้มี 4 สายพันธุ์ คือ DEN-1, DEN-2, DEN-3, และ DEN-4 เมื่อเป็นไข้เลือดออกครั้งหนึ่ง ๆ จะมีภูมิต้านทานเฉพาะสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่มีโอกาสติดโรคได้อีกจากสายพันธุ์อื่นที่เหลือ ซึ่งการติดเชื้อครั้งที่สองนี้อาการมักจะรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก
อาการของโรค
เมื่อยุงกัดคนที่กำลังมีเชื้อไวรัสอยู่ เชื้อจะเข้าสู่ตัวยุงและใช้เวลาประมาณ 10 วันเดินทางไปพักที่ต่อมน้ำลายของยุง ถึงตอนนี้ยุงจะกลายเป็นพาหะ และสามารถแพร่เชื้อได้ตลอดอายุขัย (ประมาณ 1 เดือน) หากไปกัดคนอื่น
อาการในคนจะเริ่มภายใน 4–10 วันหลังถูกยุงที่มีเชื้อกัด โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ
- ระยะไข้: ไข้จะขึ้นอย่างปุบปับ มักสูงลอยประมาณ 38.5-40 องศา ทานยาลดไข้หรือเช็ดตัวอย่างไรก็ไม่ลด ระยะนี้จะมีหน้าแดง ตัวแดง ปวดศีรษะ ปวดเนื้อตัวมาก คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นลิ้นปี่ บางรายจะมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามแขนขาเริ่มเห็นได้ตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้ ถ้าเอาเชือกรัดทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจะเห็นจุดชัดขึ้น ระยะไข้นี้จะกินเวลาประมาณ 4-7 วัน ถ้าเชื้อเป็น Chikungunya virus จะมีระยะไข้สั้นกว่า (ประมาณ 3-5 วัน)
- ระยะท็อกสิก: ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว จุดเลือดออกโดยเฉพาะที่หน้าแข้งจะชัดเจนขึ้น
การตรวจเลือดพบเกล็ดเลือดลดลง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ดีขึ้นและเข้าสู่ระยะฟื้นตัว
แต่หากเป็นการติดเชื้อ Dengue ครั้งที่สอง (โดยเฉพาะห่างจากครั้งแรก 6 เดือน – 5 ปี)
อาจเกิดภาวะช็อก ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบา ความดันโลหิตต่ำ
เห็นจุดเลือดออกชัดเจน อาจมีเลือดออกทางเดินอาหาร เช่น ถ่ายอุจจาระดำคล้ายยางมะตอย
หรืออาเจียนเป็นเลือด การตรวจเลือดพบเกล็ดเลือดลดลงมาก ภาวะช็อกนี้มักยาวนาน 24–48 ชั่วโมง
แต่หากเป็น Chikungunya virus มักไม่พบภาวะช็อก
- ระยะฟื้น: อาการผู้ป่วยจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มทานอาหารได้
อาจมีอาการคันเล็กน้อยบริเวณที่มีจุดเลือดออก และเกล็ดเลือดจะค่อย ๆ กลับสู่ระดับปกติ
การวินิจฉัย
ปัจจุบัน การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้พัฒนาและมีความรวดเร็วมากขึ้น
แพทย์สามารถใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกับอาการทางคลินิกเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ได้แก่
- การตรวจ NS1 antigen: ตรวจพบได้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มมีไข้จนถึงประมาณวันที่ 5 ของโรค เป็นวิธีที่นิยมใช้ เนื่องจากให้ผลรวดเร็วและแม่นยำ
- การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction): ใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส สามารถบอกได้ว่าเป็นสายพันธุ์ใด แต่มีค่าใช้จ่ายสูง จึงไม่ใช้ในทุกราย
- การตรวจแอนติบอดี (IgM และ IgG): ใช้ตรวจในระยะฟื้น หรือเพื่อตรวจยืนยันว่าผู้ป่วยเคยติดเชื้อมาก่อน โดย IgM จะขึ้นในช่วง 5–7 วันหลังเริ่มมีไข้ ส่วน IgG จะบอกว่ามีการติดเชื้อครั้งที่สองหรือมากกว่า
- การตรวจเลือดทั่วไป: มักพบเกล็ดเลือดต่ำ ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) สูงขึ้น และเม็ดเลือดขาวลดลง เป็นตัวช่วยบ่งชี้ภาวะรุนแรงและใช้ติดตามอาการ
ดังนั้น การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในปัจจุบันอาศัยทั้งอาการทางคลินิก
เช่น ไข้สูงเฉียบพลัน ร่วมกับการตรวจ NS1 antigen หรือการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ (↓ WBC, ↑ Hct) เพื่อให้สามารถวินิจฉัยได้เร็วขึ้นและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอย่างทันท่วงที
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออก เมื่อเริ่มติดเชื้อและป่วยแล้ว การรักษาจึงเน้นการดูแลตามอาการและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะช็อกและเลือดออกรุนแรง ซึ่งมักเกิดในช่วงไข้ลด
การดูแลในระยะไข้สูง (4–7 วันแรก) ได้แก่ การให้สารน้ำ ช่วยลดไข้ด้วยการเช็ดตัวหรือให้ยาลดไข้ (ยาพาราเซตามอลไม่ควรให้เกินวันละ 4 กรัมในผู้ใหญ่ และไม่เกิน 60 mg/kg/day ในเด็ก) ให้ยาแก้อาเจียน และตรวจเลือดเพื่อติดตามระดับความเข้มข้นของเลือดและเกล็ดเลือด
แม้ผู้ป่วยจะเริ่มดีขึ้นหลังไข้ลด แต่ยังไม่ควรรีบกลับบ้าน
จนกว่าระดับเกล็ดเลือดจะเพิ่มขึ้นจนพ้นระยะอันตรายแล้ว
ผู้ป่วยที่มีเลือดออกรุนแรงหรือเกล็ดเลือดต่ำมาก อาจจำเป็นต้องได้รับเลือดหรือเกล็ดเลือดเพิ่มเติม แต่ในช่วงการระบาดมักมีภาวะขาดแคลนผลิตภัณฑ์เลือด ญาติผู้ป่วยจึงควรช่วยบริจาคหากทำได้ เพราะผู้ป่วย 1 ราย อาจต้องใช้เลือดมากถึง 10 ถุง
พยากรณ์โรค
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคได้หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
แต่การติดเชื้อ Dengue virus ครั้งที่สองมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิต
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอาจสูงถึง 10–20% แต่หากได้รับการดูแลใกล้ชิดในโรงพยาบาล อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือต่ำกว่า 1%
การป้องกัน
ปัจจุบันการป้องกันโรคไข้เลือดออก (Dengue prevention) มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เน้นเพียงการกำจัดยุงลายและป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ตอนนี้ได้มีการนำเรื่อง วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก มาใช้ควบคู่กับมาตรการควบคุมยุงด้วย
การป้องกันโรคไข้เลือดออก (ปรับปรุงล่าสุด)
- ควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย (Environmental management)
- กำจัดน้ำขังทุกชนิด เช่น ในภาชนะ ถังน้ำ แจกัน ยางรถเก่า
- ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด
- เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 7 วัน
- ปล่อยปลากินลูกน้ำ หรือใช้ทรายอะเบท/สารกำจัดลูกน้ำในภาชนะที่จำเป็นต้องเก็บน้ำ
- ใส่ถ่านหรือผิวมะกรูดลงในจานรองกระถาง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายมาวางไข่
- พ่นดีดีที หรือน้ำยาล้างจานในสัดส่วน น้ำยา:น้ำ = 1:4 เพื่อปราบยุงที่โตแล้ว
- ใช้ถังดักยุง เปิดฝา วางไว้ในที่มืด แล้วจัดการปิดฝาในตอนเช้าก่อนนำไปตากแดด
- ป้องกันการถูกยุงกัด (Personal protection) โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นหน้าฝน
- นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด
- ใช้สารไล่ยุงทาผิวหนังหรือน้ำยากันยุงไฟฟ้า
- ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด โดยเฉพาะช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นเวลาที่ยุงลายออกหากิน
- ใช้สเปรย์กำจัดยุงหรือติดตั้งกับดักยุงในบ้าน
- ผู้ที่เป็นไข้และสงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออกก็ไม่ควรให้ยุงกัด เพราะช่วงที่มีไข้จะเป็นระยะที่แพร่เชื้อ
- วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก (Dengue vaccines) ปัจจุบันมีวัคซีน 2 ชนิดที่ได้รับการอนุมัติในบางประเทศ ได้แก่
- CYD-TDV (Dengvaxia®): แนะนำเฉพาะในผู้ที่เคยติดเชื้อ dengue มาแล้วเท่านั้น เพราะถ้าให้กับคนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงได้
- TAK-003 (Qdenga®): ได้รับการอนุมัติในหลายประเทศ ใช้ได้ทั้งในผู้ที่เคยติดเชื้อและไม่เคยติดเชื้อ
ในประเทศไทย ขึ้นอยู่กับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข และความพร้อมของวัคซีน
- การเฝ้าระวังและควบคุมโรคในชุมชน
- การพ่นหมอกควันกำจัดยุงตัวเต็มวัยในพื้นที่ที่พบผู้ป่วย
- การรณรงค์ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” (เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ)
- การมีส่วนร่วมของชุมชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขในการติดตามและให้ความรู้
สรุป
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มียุงลายเป็นพาหะ พบได้บ่อยในประเทศไทย และก่อให้เกิดการระบาดทุกปี อาการสำคัญคือไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาจมีผื่นหรือเลือดออกผิดปกติ แม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะหายได้ แต่ในบางราย โดยเฉพาะการติดเชื้อครั้งที่สอง อาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ การวินิจฉัยใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกับอาการทางคลินิก การรักษายังเป็นการประคับประคองและเน้นการให้สารน้ำอย่างถูกต้อง ส่วนการป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงและการป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด รวมถึงการใช้วัคซีนในกลุ่มที่เหมาะสม