โรคบาร์โตเนลโลสิส (Bartonellosis)

เชื้อบาร์โตเนลลา (Bartonella) เป็นแบคทีเรียกรัมลบที่อาศัยอยู่ในเซลล์ เดิมจัดอยู่ในตระกูลของริกเค็ทเซีย แต่ต่อมาพบมีมากมายหลายสายพันธุ์จึงแยกออกมา มีเพียง 3 สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคในคนที่สำคัญ โรคที่เกิดขึ้นมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามสายพันธุ์ของเชื้อและแต่ละท้องถิ่น เช่น

  • Bartonella henselae ทำให้เกิดโรคแมวข่วน (Cat-scratch disease), Bacillary angiomatosis และ Peliosis hepatitis
  • Bartonella quintana ทำให้เกิดไข้เทรนช์ (Trench fever) และ Bacillary angiomatosis
  • Bartonella bacilliformis ทำให้เกิดโรคคาร์เรียน (Carrión's disease)

โรคบาร์โตเนลโลสิสจึงเป็นชื่อเรียกรวมของโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากเชื้อในกลุ่มนี้

คนติดเชื้อบาร์โตเนลลาโดยผ่านการกัดของแมลงพาหะ ได้แก่พวกเห็บ ไร หมัด และแมว อาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง บ่อยครั้งที่หายเองได้

อาการของโรค

โรคแมวข่วน (Cat-scratch disease)

หลังถูกแมวที่มีเชื้อข่วนหรือกัด ประมาณ 3-10 วันจะเกิดตุ่มนูนแดงหรือตุ่มหนองขนาด 3-5 มม. จากนั้นตุ่มจะค่อย ๆ หายไปใน 1-3 สัปดาห์ แต่จะมีต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงโตและกดเจ็บแทน อาการนี้อยู่นาน 2-4 เดือนแล้วค่อยยุบไปเอง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่มีไข้หรืออาการอื่น ๆ ภาวะแทรกซ้อนพบได้น้อย เช่น เยื่อบุหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ ไตอักเสบ กระดูกติดเชื้อ เม็ดเลือดแดงแตก ปอดอักเสบ หรือ Parinaud’s oculo-glandular syndrome (ตาแดงข้างหนึ่งร่วมกับต่อมน้ำเหลืองหน้าหูข้างนั้นโต)

โรค Bacillary angiomatosis และ Peliosis hepatitis

ทั้งสองโรคนี้มักเกิดร่วมกันในคนไข้เอดส์ หลังถูกแมลงที่มีเชื้อกัดจะมีรอยโรคที่ผิวหนังร่วมกับอาการของตับอักเสบ รอยโรคที่ผิวหนังมีลักษณะคล้าย Kaposi sarcoma คือเป็นตุ่มนูน สีแดงเข้ม ภายในมีกลุ่มของหลอดเลือดฝอย ผู้ป่วยจะมีไข้หนาวสั่น ปวดกระดูก ปวดท้อง อาเจียน ตัวเหลืองตาเหลือง ต่อมน้ำเหลืองและตับม้ามโต ตรวจการทำงานของตับพบว่าเอ็นไซม์ transaminases สูงไม่มาก แต่ Alkaline phosphatase จะสูงมาก (5-10 เท่าของค่าปกติ) อาการไข้และปวดท้องจะเป็นอยู่ประมาณ 1-8 สัปดาห์ แต่รอยโรคที่ผิวหนังยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายเดือน

ไข้เทรนช์ (Trench fever)

โรคนี้จะคล้ายโรคมาลาเรียและไข้กลับซ้ำ แต่ไม่มีการแตกของเม็ดเลือดแดง อาการไข้จะเริ่มหลังถูกหมัดที่มีเชื้อ Bartonella quintana กัดประมาณ 2 สัปดาห์ โดยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นทันทีทันใดในวันแรก ปวดศีรษะมาก ตาแดง ปวดเนื้อตัว ปวดตามข้อ และปวดขา จากนั้นในวันที่สองและสามอาจมีไข้ขึ้นบ้างไม่สูงมาก เว้นไปอีกสองวันก็จะกลับมามีไข้สูงฉับพลันเช่นเดียวกับวันแรก ไข้จะมาเป็นชุด ๆ แบบนี้ ชุดละ 5 วัน ชาวบ้านจึงเรียกโรคนี้ว่า "five-day fever" หรือ "quintan fever" ช่วงที่มีไข้ก็จะปวดศีรษะ ตาแดง ปวดเนื้อตัวมากดังกล่าว วนเวียนอยู่อย่างนี้ประมาณ 2-6 สัปดาห์ก็จะหายไปเอง

โรคคาร์เรียน (Carrión's disease)

อาการจะมี 2 ระยะคือ

  1. ระยะเฉียบพลัน (Oroya fever) หลังถูกแมลงประเภท sand fly ที่มีเชื้อ Bartonella bacilliformis กัดประมาณ 3-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ซีด ตาเหลือง ต่อมน้ำเหลืองโต ตับม้ามโต และทรุดลงอย่างรวดเร็วจากภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (severe hemolytic anemia) บางรายจะมีอาการทางสมองด้วย โดยจะปวดศีรษะ หายใจเร็ว ซึมลง และชัก กว่าร้อยละ 40 จะเสียชีวิต จัดเป็นภาวะที่ร้ายแรงที่สุดของโรคกลุ่มบาร์โตเนลโลสิส
  2. ระยะเรื้อรัง (Verruga Peruana) เกิดในผู้ที่รอดจากระยะเฉียบพลันโดยไม่ได้รับการรักษา หลังจากฟื้นไข้หลายสัปดาห์จะมีตุ่มเกิดขึ้นที่ผิวหนัง ขนาดต่าง ๆ กัน ภายในเป็นกลุ่มของหลอดเลือดฝอยที่รวมตัวกัน เมื่อโตขึ้นจะแตกออก มีเลือดไหล แล้วแผลจะหายเอง วนเวียนกันอย่างนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงมีภาวะซีดและตับม้ามโตต่อมาจากระยะเฉียบพลัน และอาจมีไข้กลับมาใหม่ได้


การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคที่เกิดจากเชื้อบาร์โตเนลลาทำได้หลายวิธี

  1. ย้อมเลือดด้วยสี Giemsa ใช้กับโรคคาร์เรียนระยะเฉียบพลัน จะพบตัว B bacilliformis อยู่ภายในเม็ดเลือดแดง รูปแท่ง โค้งเล็กน้อย
  2. ย้อมของเหลวจากแผลหรือต่อมน้ำเหลืองด้วย Silver stain ใช้กับโรคหรือระยะที่มีต่อมน้ำเหลืองโต
  3. เพาะเชื้อจากเลือด น้ำไขสันหลัง ต่อมน้ำเหลือง หรือชิ้นเนื้อของอวัยวะ ตามแต่อาการของโรค แต่ต้องใช้อาหารเลี้ยงเชื้อพิเศษที่เรียกว่า Bartonella alpha Proteobacteria Growth Medium (BAPGM) และใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์
  4. ตรวจ IFA serology วิธีนี้สามารถระบุสายพันธุ์ได้ด้วย หาก IgM ≥ 1:16 ถือว่าติดเชื้อเฉียบพลัน
  5. ตรวจ PCR วิธีนี้มีความแม่นยำสูง แต่มีค่าใช้จ่ายมาก
  6. ตรวจพยาธิวิทยาของเนื้อเยื่อ เช่น รอยโรคใน Bacillary angiomatosis และ Peliosis hepatitis ทั้งตุ่มที่ผิวหนังและตับจะมีลักษณะของหลอดเลือดที่เกิดใหม่อยู่ภายใน และอาจพบตัวแบคทีเรียด้วย

สำหรับโรคแมวข่วน มักไม่จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมหากมีประวัติและอาการสอดคล้อง เนื่องจากอาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง

การรักษา

เชื้อบาร์โตเนลลาสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหลายชนิด โดยแนวทางคือ

  • โรคแมวข่วน: หากต่อมน้ำเหลืองโตและเจ็บนานเกิน 1 สัปดาห์ แนะนำใช้ Azithromycin (ผู้ใหญ่: 500 มก. วันแรก ตามด้วย 250 มก./วัน นาน 4 วัน; เด็ก: 10 มก./กก. วันแรก ตามด้วย 5 มก./กก. นาน 4 วัน)
  • Bacillary angiomatosis: ใช้ Erythromycin, Doxycycline, Azithromycin, Co-trimoxazole, Rifampicin หรือ Quinolones นาน 1-2 เดือน รายรุนแรงควรใช้ยาสองขนานร่วมกันนาน ≥ 3 เดือน
  • ไข้เทรนช์: ใช้ Doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน ≥ 4 สัปดาห์
  • โรคคาร์เรียน: ใช้ Doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 1-2 สัปดาห์
  • ผู้ที่เพาะเชื้อขึ้นในเลือด ควรเริ่มด้วย Gentamicin ฉีด 7-14 วัน ร่วมกับยาชนิดรับประทาน

การป้องกัน

เนื่องจากโรคบาร์โตเนลโลสิสติดต่อโดยมีแมลง เห็บ ไร หมัดและแมวเป็นพาหะ การป้องกันสามารถทำได้โดย

  • สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิดเมื่อออกนอกบ้าน
  • รักษาบ้านเรือนให้สะอาด ลดแหล่งเพาะพันธุ์เห็บ หมัด และไร
  • ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทันทีเมื่อถูกสัตว์กัดหรือข่วน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสอุจจาระของสัตว์โดยตรง

สรุป

โรคบาร์โตเนลโลสิสเป็นกลุ่มโรคติดเชื้อจากเชื้อ Bartonella ที่แพร่โดยแมลงพาหะและสัตว์เลี้ยง อาการมีตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น โรคแมวข่วน จนถึงรุนแรงและอันตรายถึงชีวิต เช่น โรคคาร์เรียน การวินิจฉัยอาศัยประวัติ อาการ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนการรักษาใช้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดขึ้นกับชนิดของโรค การป้องกันทำได้โดยลดการสัมผัสพาหะและดูแลสุขอนามัยอย่างเหมาะสม