โรคท็อกโซพลาสโมสิส (Toxoplasmosis)

โรคท็อกโซพลาสโมสิส เกิดจากเชื้อ Toxoplasma gondii ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อแฝง (latent infection) ที่พบได้บ่อยในมนุษย์ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือ ทารกในครรภ์และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากเชื้อสามารถทำให้เกิดความพิการรุนแรงหรือโรคแทรกซ้อนได้

T. gondii เป็นโปรโตซัวที่อาศัยอยู่ภายในเซลล์ พบมากในสมอง หัวใจ และกล้ามเนื้อ โดยมีซิสต์ที่สามารถแพร่เชื้อออกมากับอุจจาระแมว ซึ่งเป็นโฮสต์ตามธรรมชาติ เมื่อคนหรือสัตว์อื่นกินซิสต์เข้าไป เชื้อจะไชผ่านผนังลำไส้และแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้คนยังสามารถติดเชื้อได้จากการรับประทานเนื้อดิบหรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก

พยาธิสภาพ

เชื้อแพร่กระจายไปทั่วร่างกายผ่านกระแสเลือดและน้ำเหลือง เมื่อเข้าสู่เซลล์จะเจริญและแบ่งตัว จนทำให้เซลล์แตกและเกิดการตายของเนื้อเยื่อ ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ การตอบสนองของภูมิคุ้มกันชนิดอาศัยเซลล์ (cellular immunity) จะช่วยควบคุมเชื้อได้ แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อมักลุกลามเข้าสู่อวัยวะสำคัญ เช่น สมอง ปอด และหัวใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิต

อาการของโรค

ระยะแรกมักเริ่มด้วยการอักเสบของต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะที่คอหรือต่อมใต้คาง ซึ่งต่อมอาจโต แข็ง และกดเจ็บได้ แต่ไม่มีหนอง มักพบโตเพียง 1 ต่อม ร่วมกับอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ เจ็บคอ และอาจมีผื่นแดงจุดเล็ก ๆ ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันปกติ อาการเหล่านี้มักหายได้เอง แต่ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาการอาจเป็น ๆ หาย ๆ อยู่นานเป็นเดือน ก่อนเข้าสู่ระยะที่เชื้อทำลายอวัยวะ

หากเชื้อเข้าสู่สมอง จะเกิดการตายของเนื้อสมองเป็นหย่อม ๆ ขนาดหลายเซนติเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการชัก แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ปากเบี้ยว หรือซึมลงจากภาวะสมองบวม ถ้าเชื้อเข้าสู่ดวงตา จะทำให้เกิดจอตาอักเสบ มองเห็นภาพขาดหายเป็นจุด ๆ และเมื่อรอยโรคขยายรวมกัน อาจนำไปสู่การตาบอดถาวร เชื้อยังสามารถก่อโรคที่อวัยวะอื่น เช่น ปอด หัวใจ และอวัยวะในช่องท้อง แม้จะพบได้น้อยกว่าสมองและตา

การวินิจฉัย

ในระยะแรก การตัดชิ้นเนื้อจากต่อมน้ำเหลืองเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยาเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด หากต่อมน้ำเหลืองหายไปแล้วและเชื้อแพร่เข้าสู่อวัยวะภายใน การวินิจฉัยต้องใช้ชิ้นเนื้อจากอวัยวะนั้น หรือใช้การตรวจทางซีโรโลยีเพื่อหาแอนติบอดีในเลือด เช่น วิธี IFA แต่ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจให้ผลลบเนื่องจากการตอบสนองของแอนติบอดีไม่ชัดเจน ดังนั้นอาจใช้การตรวจหาแอนติเจนในเลือดด้วยวิธี ELISA แทน



การรักษา

เชื้อ T. gondii ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาค่อนข้างดี แต่หากเกิดความเสียหายต่อสมองหรือสายตาแล้ว อาจเหลือความพิการถาวรได้ ยาที่ได้ผลดีที่สุดคือกลุ่ม Antifolates โดยใช้สูตรยาผสม ดังนี้:

  • ทางเลือกแรก
    • น้ำหนัก < 60 kg: Pyrimethamine 100 mg วันแรก จากนั้น 50 mg วันละครั้ง + Sulfadiazine 1 g ทุก 6 ชม. + Leucovorin 20 mg วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์
    • น้ำหนัก ≥ 60 kg: Pyrimethamine 200 mg วันแรก จากนั้น 75 mg วันละครั้ง + Sulfadiazine 1.5 g ทุก 6 ชม. นาน 6 สัปดาห์
  • ทางเลือกที่สอง: Pyrimethamine 100 mg วันแรก จากนั้น 50 mg วันละครั้ง + Clindamycin 300 mg ทุก 6 ชม. + Leucovorin 20 mg วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์
  • ทางเลือกที่สาม: Pyrimethamine 100 mg วันแรก จากนั้น 50 mg วันละครั้ง + Azithromycin 500 mg วันละครั้ง + Leucovorin 20 mg วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์
  • ทางเลือกที่สี่: Pyrimethamine 100 mg วันแรก จากนั้น 50 mg วันละครั้ง + Atovaquone 750 mg เช้า-เย็น + Leucovorin 20 mg วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์

หากผู้ป่วยมีภาวะสมองบวม แพทย์อาจให้ยาลดสมองบวมร่วมด้วย สำหรับผู้ที่รักษาหายแล้วแต่ยังมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ มีความเสี่ยงที่เชื้อจะกลับมาใหม่ ควรได้รับการป้องกันต่อเนื่องด้วย Sulfadiazine 500 mg ทุก 6 ชม. + Pyrimethamine 25 mg วันละครั้ง + Leucovorin 10 mg วันละครั้ง ตลอดไป

พยากรณ์โรค

ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ โรคท็อกโซพลาสโมสิสมักมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ โรคนี้อาจลุกลามรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากเชื้อเข้าตาหรือสมอง อาจทำให้ตาบอดถาวรหรือเกิดความพิการทางสมองได้ การรักษาช่วยลดความรุนแรงของโรค แต่ไม่สามารถลบความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วได้

การป้องกัน

การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อดิบหรือเนื้อที่ปรุงไม่สุก รักษาสุขอนามัยในการบริโภคอาหารอย่างเคร่งครัด และดูแลสุขภาพให้มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและการลุกลาม

สรุป

โรคท็อกโซพลาสโมสิสเกิดจากเชื้อโปรโตซัว Toxoplasma gondii ติดต่อผ่านการกินซิสต์จากอุจจาระแมวหรือเนื้อสัตว์ดิบ ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงในคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ แต่สามารถก่อให้เกิดโรครุนแรงในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและทารกในครรภ์ การวินิจฉัยอาศัยทั้งการตรวจชิ้นเนื้อและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การรักษาได้ผลดีโดยใช้สูตรยากลุ่ม Antifolates ร่วมกับการประคับประคองอาการ อย่างไรก็ตาม ความพิการถาวรทางสมองและสายตายังพบได้ในบางราย ดังนั้นการป้องกันโดยการรับประทานอาหารที่สุกสะอาด รักษาสุขอนามัย และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด