โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV infection)
โรคติดเชื้อเอชไอวี หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า "โรคเอดส์" (Acquired Immune Deficiency Syndrome, AIDS) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสเรื้อรังที่ทำลายเม็ดเลือดขาว ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ร่างกายจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ง่าย รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด อาการของโรคมักรุนแรง เรื้อรัง และหากไม่ได้รับการรักษาก็อาจเสียชีวิตได้
โรคเอดส์ติดต่อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ได้แก่ เลือด น้ำกาม น้ำนม และสารคัดหลั่งอื่น ๆ วิธีที่ติดต่อได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การรับเลือดที่มีเชื้อ การคลอดบุตรทางช่องคลอด หรือการดื่มนมจากมารดาที่ติดเชื้อ ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด แต่สามารถใช้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral drugs) เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อ และช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้
สาเหตุของโรค
สาเหตุเกิดจากเชื้อ เอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus, HIV) ซึ่งเป็นไวรัสที่เจริญเติบโตช้าและมีระยะฟักตัวนาน เชื้อนี้จะทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดซีดีโฟร์ (CD4 T lymphocyte) และโมโนไซต์ (Monocyte) ทำให้ภูมิคุ้มกันแบบ cellular immunity ลดลง เชื้อจะเพิ่มจำนวนโดยสร้างสายดีเอ็นเอและแทรกเข้าไปในสารพันธุกรรมของผู้ติดเชื้ออย่างถาวร ส่งผลให้เซลล์รุ่นใหม่มีเชื้อติดอยู่ด้วย
อาการของโรค
หลังจากได้รับเชื้อ ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการเลย ขณะที่บางรายมีอาการคล้ายการติดเชื้อไวรัสทั่วไป เช่น มีไข้ เจ็บคอ มีผื่นหรือต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งมักเป็นอยู่ไม่นานแล้วหายไปเอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะไม่มีอาการเป็นเวลาหลายปี จนกว่าระดับซีดีโฟร์ในเลือดลดลงต่ำกว่า 200–500 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิลิตร
โดยทั่วไปในประเทศไทย ระยะเวลาตั้งแต่การติดเชื้อจนถึงการเริ่มป่วยมักใช้เวลา 7–10 ปี ในช่วงที่ภูมิคุ้มกันยังพอทำงานได้ ผู้ติดเชื้อจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "ผู้ติดเชื้อเอชไอวี" แต่เมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถควบคุมโรคต่าง ๆ ได้ ผู้ป่วยจะเริ่มเจ็บป่วยจากโรคฉวยโอกาส (opportunistic infections) และเข้าสู่ระยะ "ผู้ป่วยเอดส์"
อาการของผู้ป่วยเอดส์แบ่งออกได้ 2 กลุ่มคือ
อาการจากการดำเนินของโรคเอดส์
- ผิวหนังหยาบ คล้ำ คันง่าย หรือมีรอยโรค เช่น เรื้อนกวาง ผื่นแดง (seborrheic dermatitis) มะเร็งหลอดเลือดใต้ผิวหนัง (Kaposi's sarcoma)
- ไขมันใต้ผิวหนังลดลง กล้ามเนื้อลีบ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าท้องและทรวงอก
- เส้นผมเล็ก บาง สีจาง
- อุจจาระเหลวเป็นพัก ๆ
- น้ำหนักลด อ่อนเพลียง่าย
- ความจำและการตอบสนองช้าลง
อาการจากโรคฉวยโอกาส
- มีไข้เรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอ รักแร้ หรือขาหนีบ
- เจ็บคอ มีฝ้าขาวติดที่คอหอย เพดานปาก หรือโคนลิ้น
- โรคผิวหนัง เช่น เริม งูสวัด หูดหงอนไก่ หูดข้าวสุก หรือผื่นหนองจากเชื้อรา
- โรคระบบหายใจ เช่น หอบเหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง และอาจมีอาการเขียว
- โรคระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะ อัมพาต ชัก เดินเซ หรือเห็นภาพซ้อน
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคเอดส์ทำเป็น 2 ขั้นตอน
- การตรวจหาเชื้อเอชไอวี
- ตรวจเลือดหา HIV antibody ซึ่งทำได้ง่าย ราคาถูก และทราบผลภายใน 1 วัน แต่จะเชื่อถือได้หลังติดเชื้อไปแล้ว 6–8 สัปดาห์
- ตรวจหาเชื้อโดยตรงด้วยวิธี PCR ซึ่งมีความแม่นยำสูงและตรวจได้แม้เพิ่งรับเชื้อ แต่มีราคาแพงและใช้เวลาประมาณ 3 วัน
หากผลการตรวจขั้นแรกเป็นบวก จึงเข้าสู่การตรวจขั้นที่สอง
- การตรวจดูความก้าวหน้าของโรค เช่น การตรวจร่างกายและซักประวัติ การวัดระดับ CD4 การนับเม็ดเลือด การเอ็กซเรย์ทรวงอก รวมถึงการตรวจหาเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฉวยโอกาส
การรักษา
แนวทางการรักษาจะเริ่มเมื่อมีโรคฉวยโอกาสเกิดขึ้น ระดับ CD4 ต่ำกว่า 500 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิลิตร หรือปริมาณเชื้อ HIV ในเลือดเกิน 30,000 copies/ml การรักษาหลักคือการให้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral therapy, ART) เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อ ควบคู่กับการให้ยาป้องกันหรือต้านการติดเชื้อฉวยโอกาสบางชนิด การรักษาจำเป็นต้องทำต่อเนื่องตลอดชีวิต เนื่องจากยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด
การป้องกัน
เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และตรวจหาเชื้อ HIV ในหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อสู่ทารก
สรุป
โรคติดเชื้อเอชไอวีเป็นโรคไวรัสเรื้อรังที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อโรคฉวยโอกาส แม้ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด แต่การตรวจพบเชื้อตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และการใช้ยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยยืดอายุผู้ป่วย ลดความรุนแรงของโรค และเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ