โรคไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis)

โรคไวรัสตับอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยมีอุบัติการณ์สูงกว่าสหรัฐอเมริกาประมาณ 2.5 เท่า และยังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุข เนื่องจากยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้โดยตรง ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เป็นพาหะและผู้ป่วยที่เข้าสู่ภาวะเรื้อรังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ องค์การอนามัยโลกประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบที่สามารถแพร่เชื้อได้ประมาณ 350 ล้านคนทั่วโลก

ไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด ที่ศึกษาชัดเจนแล้วว่าทำให้เกิดโรคในคนได้มี 5 ชนิด ได้แก่ เอ บี ซี ดี และ อี

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A)

เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันเท่านั้น ติดต่อทางปากผ่านอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด ผู้ติดเชื้อบางรายไม่มีอาการ ทำให้แพร่กระจายเชื้อต่อได้โดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มีอาการจะเริ่มป่วยหลังรับเชื้อประมาณ 1 เดือน โดยอาการแบ่งเป็น 3 ระยะ:

  1. ระยะไข้: มีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องอืด ปวดเมื่อยเล็กน้อย อาการจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วย จนเข้าสู่ระยะเหลืองจึงไปพบแพทย์
  2. ระยะเหลือง: ไข้ลดลง แต่ยังอ่อนเพลีย ปัสสาวะสีเข้ม ตาและผิวเหลือง อาจพบตับโต ระยะนี้นาน 1-4 สัปดาห์ ถ้าตรวจเลือดดูการทำงานของตับ จะพบเอ็นไซม์ของตับสูงขึ้นอย่างมาก โดย SGPT (ALT) สูงกว่า SGOT (AST)
  3. ระยะฟื้นตัว: อาการดีขึ้นทีละน้อย อาจยังเหลืองอยู่ แต่กินอาหารและทำงานเบา ๆ ได้ และหายปกติใน 1-3 เดือน

การวินิจฉัยทำโดยตรวจ Anti-HAV IgM ในเลือด ซึ่งจะเริ่มตรวจพบได้ตั้งแต่ก่อนจะมีอาการ ระดับจะขึ้นสูงสุดในปลายสัปดาห์ที่ 2-3 ของโรค (ระยะเหลืองเต็มที่) หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดระดับลง

การรักษาไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันทุกชนิด คือ การพักผ่อน กินอาหารอ่อน ไขมันต่ำ โปรตีนน้อย และงดสุรา ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน ได้ผลค่อนข้างดี อุบัติการณ์ลดลงเรื่อย ๆ



โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)

เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ทำให้เกิดทั้งตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง ติดต่อทางเลือด น้ำลาย น้ำอสุจิ สารคัดหลั่ง และจากแม่สู่ลูก อาการจะเริ่มหลังได้รับเชื้อ 50-180 วัน โรคเฉียบพลันมีอาการคล้ายไวรัสตับอักเสบเอ แต่รุนแรงกว่า บางรายอาจตับวายเสียชีวิตได้

การวินิจฉัยอาศัยการตรวจ HBsAg และเอนไซม์ตับที่สูงขึ้น หากร่างกายกำจัดเชื้อได้ HBsAg ควรหายไปใน 3-4 เดือน ช่วงที่ HBsAg เริ่มหายจะตรวจพบ Anti-HBc และ Anti-HBe แล้วถึงจะตรวจพบ Anti-HBs หลังจากนั้นอีก 1-2 เดือน

หากร่างกายกำจัดเชื้อไม่ได้จะกลายเป็นเรื้อรัง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบ:

  1. พาหะเรื้อรัง: ไม่มีอาการ แต่มี HBsAg อยู่ในเลือดเกิน 6 เดือน สามารถแพร่เชื้อให้บุคคลอื่นได้ หากเป็นหญิงมีครรภ์ เชื้อจะแพร่ไปยังทารกได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ผู้ป่วยพาหะกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูง
  2. ตับอักเสบเรื้อรังชนิดทรง: เป็นระยะต่อเนื่องมาจากระยะตับอักเสบเฉียบพลัน โดยมีเอนไซม์ตับสูงนาน (100-500 U/L) แต่ไม่มีอาการเหลืองแล้ว HBsAg ก็อาจหายไปแล้วด้วย รูปแบบนี้มักหายได้เอง มีน้อยที่จะกลายเป็นแบบที่สาม
  3. ตับอักเสบเรื้อรังชนิดดำเนินต่อไป: ภาวะนี้วินิจฉัยจากผลทางพยาธิวิทยาเป็นหลัก สาเหตุมิได้เกิดจากไวรัสเพียงอย่างเดียว บางรายเกิดจากการดื่มสุรา บางรายเกิดจากโรคอื่น ๆ และบางรายเกิดจากยา การอักเสบของตับจะยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ อาการมีไม่มากนัก แต่การทดสอบสมรรถภาพของตับจะผิดปกติตลอด ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งจะกลายเป็นตับแข็ง และบางส่วนจะดำเนินต่อไปเป็นมะเร็งตับ หากเป็นจากไวรัสตับอักเสบบี ต้องตรวจปริมาณ DNA ของเชื้อไวรัสเพื่อเริ่มยารักษา

การรักษาใช้ Interferon หรือยาต้านไวรัส เช่น Lamivudine, Adefovir ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ควรฉีดในกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย ทารกแรกเกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ

การรักษาไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง คือ การให้สารที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Interferon) เพื่อให้ร่างกายกำจัดเชื้อออกไปเอง หรือให้ยาที่ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส (Lamivudine, Adefovir) Interferon มีราคาแพงมาก ผู้ป่วยที่จะเริ่มต้นรักษาควรเข้ารับฟังคำอธิบายข้อดี ข้อเสีย และราคายาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีที่มีประสิทธิภาพมาก เริ่มฉีดในเด็กไทยทุกคนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ผู้ใหญ่ที่เกิดก่อนหน้านั้นแนะนำให้ฉีดในกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย ทารกแรกเกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ และผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ



โรคไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C)

เชื้อไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อทางเลือดและสารคัดหลั่ง คล้ายไวรัสบี ทำให้เกิดทั้งตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่หากป่วยจะเกิดหลังรับเชื้อ 6-12 สัปดาห์ และมักกลายเป็นเรื้อรัง

การวินิจฉัยโดยตรวจ anti-HCV หรือ PCR การรักษาในรายเรื้อรังใช้ Interferon ร่วมกับยาต้านไวรัสอื่น ๆ เป็นเวลา 6-12 เดือน ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน แต่ผู้ป่วยเรื้อรังควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอและบีเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ ซึ่งหากติดซ้ำอาการจะทรุดลงมาก

โรคไวรัสตับอักเสบ ดี (Hepatitis D)

เชื้อไวรัสตับอักเสบดีก่อโรคได้เฉพาะผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีร่วมหรือเป็นอยู่ก่อน เพราะการเพิ่มจำนวนของดีต้องอาศัยไวรัสบี หากได้รับเชื้อพร้อมกันอาจรุนแรงถึงขั้นตับวาย หากติดเชื้อดีภายหลังจะมีโอกาสกลายเป็นเรื้อรังและมะเร็งตับสูง

ทางติดต่อของไวรัสดีเหมือนของไวรัสบี การวินิจฉัยต้องตรวจพบทั้ง HBsAg และ anti-HDV การรักษาเหมือนไวรัสบี ป้องกันได้ด้วยวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบ อี (Hepatitis E)

ติดต่อผ่านอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน ระยะฟักตัว 5-10 สัปดาห์ ทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน อาการคล้ายไวรัสตับอักเสบเอ การวินิจฉัยทำโดยตรวจ anti-HEV IgM การรักษาคือพักผ่อนและควบคุมอาหาร ยังไม่มียารักษาเฉพาะ วัคซีนยังอยู่ในขั้นวิจัย

สรุป

โรคไวรัสตับอักเสบเป็นโรคที่สำคัญและมีหลายชนิด การติดเชื้อบางชนิดทำให้หายได้เอง แต่บางชนิดอาจกลายเป็นเรื้อรังและนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับ การวินิจฉัยอาศัยการตรวจเลือดเฉพาะทาง การรักษาขึ้นกับชนิดของไวรัส ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี ส่วนไวรัสซีและอียังไม่มีวัคซีน การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขอนามัย งดการใช้เข็มร่วมกัน มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และรับวัคซีนตามคำแนะนำ