ไข้กระต่าย (Tularemia)
ไข้กระต่าย หรือโรคตุลารีเมีย เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ Francisella tularensis ซึ่งมี 4 ชนิดย่อย โดย Type A มีความรุนแรงที่สุด สัตว์รังโรคได้แก่สัตว์ฟันแทะ เช่น กระต่าย กระรอก และนาก โดยสัตว์เหล่านี้มักไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อสู่คนได้ โดยมีเห็บ เหลือบ หมัด และยุงเป็นพาหะนำโรค
เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น ถูกแมลงกัด สัมผัสสัตว์ป่าที่ติดเชื้อ รับประทานเนื้อหรืออาหาร/น้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงการสูดเอาเชื้อในรูปละอองเข้าสู่ปอด
อาการของโรค
อาการมักแสดงภายใน 3–5 วันหลังการติดเชื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและวิถีทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย โดยแบ่งเป็น 6 รูปแบบหลัก ได้แก่:
- Ulceroglandular (พบบ่อยที่สุด) — มีแผลที่ผิวหนังบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ร่วมกับต่อมน้ำเหลืองโตและเจ็บ
- Glandular — ต่อมน้ำเหลืองโตและเจ็บ แต่ไม่มีแผลเปิดที่ผิวหนัง
- Oculoglandular — ตาอักเสบ/เยื่อบุตาอักเสบ มีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหน้าใบหูและรอบคอ
- Oropharyngeal / Intestinal — เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ทำให้มีอาการเจ็บคอ แผลในปาก ปวดท้อง ถ่ายเหลว คลื่นไส้อาเจียน
- Typhoidal — เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ ก่อให้เกิดไข้สูง หนาวสั่น และโลหิตเป็นพิษ มักรุนแรงแต่จำกัดอยู่ที่ปอดและเยื่อหุ้มปอด
- Pneumonic — เกิดจากการสูดเชื้อเข้าไปหรือจากการลุกลามของเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการปอดอักเสบรุนแรง เจ็บหน้าอก ไอมีเสมหะปนเลือด หายใจลำบากจนอาจหยุดหายใจ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยอาศัยทั้งประวัติการสัมผัส (เช่น ถูกเห็บกัด สัมผัสสัตว์ป่า รับประทานเนื้อไม่สุก หรือทำงานในห้องปฏิบัติการ) ร่วมกับอาการและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่:
- การเพาะเชื้อ — จากแผล หนอง เลือด หรือเสมหะ ต้องแจ้งห้องปฏิบัติการก่อน เพราะเชื้อมีอันตรายและต้องจัดการในระดับความปลอดภัย BSL-3
- PCR / Direct fluorescent antibody (DFA) — ใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยได้รวดเร็ว
- Serology — ใช้เปรียบเทียบระดับแอนติบอดีระหว่างระยะเฉียบพลันและระยะฟื้นตัว หากเพิ่ม ≥4 เท่า ถือว่าสนับสนุนการวินิจฉัย
การวินิจฉัยแยกโรค
โรค |
ลักษณะเด่น |
วิธีแยกแยะ / การตรวจ |
Plague (Yersinia pestis) |
ไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองโต (buboes) หรือปอดอักเสบแบบ pneumonic |
ประวัติสัมผัสหนู/หมัด การเพาะเชื้อ และการตรวจ PCR |
Cat-scratch disease (Bartonella henselae) |
ต่อมน้ำเหลืองโตหลังถูกแมวกัด/ข่วน อาการไม่รุนแรง |
ประวัติสัมผัสแมว ร่วมกับ serology หรือ PCR |
Staphylococcal / Streptococcal skin infection |
แผลผิวหนังอักเสบ มีหนองเฉพาะที่ |
Gram stain และเพาะเชื้อจากหนอง |
Brucellosis |
ไข้เรื้อรัง ปวดข้อ ประวัติสัมผัสสัตว์หรือผลิตภัณฑ์นมไม่พาสเจอร์ไรส์ |
ตรวจ serology และเพาะเชื้อ |
Tuberculosis (pulmonary TB) |
ไอเรื้อรัง มีเสมหะ/เลือด น้ำหนักลด ปอดอักเสบเรื้อรัง |
ตรวจเสมหะ AFB smear, culture TB, PCR |
การรักษา
ควรเริ่มการรักษาทันทีเมื่อสงสัยโรค โดยยาที่ใช้ ได้แก่:
- Streptomycin — ยาหลักสำหรับผู้ป่วยรุนแรง ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 7–10 วัน
- Gentamicin — ใช้ทาง IV/IM ได้ผลดีในผู้ป่วยรุนแรง ระยะเวลา 7–10 วัน
- Ciprofloxacin — ใช้ได้ทั้ง IV และกิน เหมาะสำหรับผู้ป่วยไม่รุนแรง ระยะเวลา 10–14 วัน
- Doxycycline — ใช้ได้ในผู้ป่วยไม่รุนแรง รับประทานหรือ IV วันละ 2 ครั้ง ระยะเวลา 14–21 วัน
พยากรณ์โรค
ความรุนแรงและผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรูปแบบของโรคและการรักษาที่ได้รับ:
- Ulceroglandular, glandular, oculoglandular, oropharyngeal — พยากรณ์โรคดี หากได้รับยาที่เหมาะสม
- Pneumonic และ typhoidal — รุนแรงและมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษา
- หากวินิจฉัยเร็วและให้การรักษาอย่างเหมาะสม อัตราตายต่ำลงมาก
การป้องกัน
มาตรการป้องกันที่สำคัญ ได้แก่:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าที่ตายหรือป่วย และสวมอุปกรณ์ป้องกันเมื่อจำเป็น
- ป้องกันเห็บและแมลงกัดด้วยการใช้สารไล่แมลงและการแต่งกายที่เหมาะสม
- ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุก หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
- บุคลากรห้องปฏิบัติการต้องใช้มาตรการความปลอดภัยระดับ BSL-3 เมื่อจัดการตัวอย่าง
- ในบางประเทศมีวัคซีนใช้ในบุคลากรกลุ่มเสี่ยงสูง แต่ยังไม่ใช้ทั่วไป
สรุป
ไข้กระต่ายเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย Francisella tularensis ที่สามารถก่อโรคได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การติดเชื้อผิวหนัง ต่อมน้ำเหลือง จนถึงปอดอักเสบรุนแรง การวินิจฉัยอาศัยข้อมูลประวัติ อาการ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ต้องทำในสภาวะปลอดภัยสูง การรักษาที่เหมาะสมด้วยยาปฏิชีวนะช่วยลดอัตราการตายได้มาก การป้องกันเน้นการหลีกเลี่ยงสัตว์ป่า การป้องกันแมลงกัด และมาตรการด้านความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ