โรคพยาธิสตรองจีลอยด์ (Strongyloidiasis)
โรคพยาธิสตรองจีลอยด์เกิดจากพยาธิตัวกลมขนาดเล็กมาก ยาวเพียง 2 มิลลิเมตร ชื่อ Strongyloides stercoralis พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พยาธิตัวแก่จะฝังตัวอยู่ในเยื่อบุของลำไส้เล็กแถวดูโอดินั่มและเจจูนั่ม ตัวเมียออกไข่ แล้วฟักเป็นตัวอ่อนอยู่ภายในลำไส้นั้นเลย ตัวอ่อนอาจถูกถ่ายปนออกมากับอุจจาระ ตัวอ่อนที่ออกมาสามารถไชทะลุผิวหนังกลับเข้าไปในตัวคนได้ใหม่ ตัวอ่อนที่อยู่ภายในลำไส้ก็สามารถไชเข้ากระแสโลหิต ไปที่ปอด ทำให้เกิดอาการปอดอักเสบได้
อาการของโรค
ในระยะที่ตัวอ่อนไชผ่านผิวหนัง มักเกิดผื่นลมพิษ คัน และอาจเห็นเป็นเส้นตรงหรือคดเคี้ยวใต้ผิวหนังโดยไม่เจ็บปวด เมื่อพยาธิเคลื่อนไปถึงปอด จะทำให้มีไข้ ไอ เหนื่อยหอบ บางรายอาจไอเป็นเลือด ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาการที่ปอดจะรุนแรง
และการวินิจฉัยทำได้ยากหากไม่พบตัวอ่อนในเสมหะ
หากพยาธิตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ในลำไส้เล็ก จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืดเหมือนอาหารไม่ย่อย อาการเป็น ๆ หาย ๆ คล้ายโรค sprue-like syndrome เด็กที่ติดเชื้อเรื้อรังอาจมีภาวะขาดสารอาหาร ซีด บวม และตับโต
ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์
พยาธิสามารถไชเข้าสู่กระแสโลหิตและกระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ไต ปอด สมอง เรียกว่า ภาวะแพร่กระจายของสตรองจีลอยด์ (Disseminated strongyloidiasis)
ซึ่งมักมีการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบร่วมด้วย ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก
การวินิจฉัย
สามารถวินิจฉัยโรคได้โดยการตรวจพบตัวอ่อนของพยาธิในอุจจาระ เสมหะ หรือที่ผิวหนัง หากไม่พบ แต่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่วมกับอาการปอดอักเสบรุนแรง
และตรวจพบค่าอีโอซิโนฟิลในเลือดสูง ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้
การรักษา
ยาที่ใช้รักษาโรคสตรองจีลอยด์ ได้แก่
- Ivermectin เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้ขนาดตามน้ำหนักตัว
- Albendazole หรือ Thiabendazole อาจใช้เป็นทางเลือก แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่า
ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีการติดเชื้อแบบแพร่กระจาย
จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนและอาจต้องให้ยานานกว่าปกติ
เพื่อกำจัดพยาธิให้หมดสิ้น
พยากรณ์โรค
ผู้ป่วยทั่วไปที่ได้รับการรักษาด้วยยาอย่างถูกต้องมักหายขาดและมีพยากรณ์โรคที่ดี แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเฉพาะผู้ที่เป็น disseminated strongyloidiasis มีอัตราการเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในพื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นดินชื้นแฉะหรือบริเวณที่อาจปนเปื้อนอุจจาระ
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลและสุขาภิบาลชุมชนให้สะอาด
- ตรวจคัดกรองและรักษาผู้ติดเชื้อ เพื่อลดการแพร่กระจาย
- หลีกเลี่ยงการใช้ยากดภูมิคุ้มกันโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อ
สรุป
โรคพยาธิสตรองจีลอยด์เกิดจากพยาธิตัวกลม Strongyloides stercoralis
ติดต่อได้จากการที่ตัวอ่อนไชผ่านผิวหนัง อาการอาจเกิดได้ตั้งแต่ผื่นคัน ปวดท้อง ท้องเสีย
ไปจนถึงปอดอักเสบรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การวินิจฉัยอาศัยการตรวจพบตัวอ่อนในอุจจาระหรือเสมหะ
การรักษาหลักคือยา ivermectin และสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัย
หลีกเลี่ยงการสัมผัสดินที่ปนเปื้อน
หากรักษาทันท่วงทีผู้ป่วยทั่วไปมักหายขาด แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตสูง