โรคพยาธิลำไส้แคปิลลาเรีย (Intestinal capillariasis)

โรคนี้เกิดจากพยาธิตัวกลมชื่อ Capillaria philippinensis ซึ่งพบไม่บ่อยในประเทศไทย พยาธิตัวแก่จะอาศัยอยู่ในลำไส้เล็ก ไข่พยาธิจะถูกขับออกมากับอุจจาระ หากลงสู่น้ำจะเจริญเป็นตัวอ่อนอยู่ภายในเปลือกไข่ เมื่อปลาน้ำจืดกินเข้าไปก็จะฟักออกเป็นตัวอ่อนอยู่ในลำไส้ปลา ประมาณ 2-3 สัปดาห์จะกลายเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อ เมื่อคนกินปลาน้ำจืดสุก ๆ ดิบ ๆ เข้าไปก็จะติดโรค

อาการของโรค

ผู้ป่วยแทบทุกรายมีประวัติกินปลาน้ำจืดดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ ระยะฟักตัวประมาณ 3-6 สัปดาห์ อาการเริ่มแรกคือ มีเสียงท้องร้องโกร้กกร้าก ปวดแน่นท้อง จากนั้นจะเกิดอาการท้องร่วง ถ่ายบ่อยถึงวันละ 5-10 ครั้ง อุจจาระเหลวเป็นน้ำ วันหนึ่งอาจถ่ายมากถึง 1-2 ลิตร อาการท้องเสียจะค่อย ๆ เบาลงเแต่ป็นเรื้อรังต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผอมแห้ง และมีอาการบวมที่เท้าทั้งสองข้าง หากไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้จากการสูญเสียเกลือแร่และน้ำอย่างรุนแรง

การวินิจฉัย

สามารถวินิจฉัยโรคได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้

  1. ตรวจอุจจาระพบไข่พยาธิชนิดนี้
  2. ลักษณะไข่ของจะเป็นรูปวงรี เปลือกหนาดูคล้ายกับว่ามีสองชั้น มีฝาจุกแบน ๆ ปิดอยู่ทั้งสองด้าน คล้ายไข่ของพยาธิแส้ม้ามาก

  3. พบพยาธิตัวแก่ออกมาในอุจจาระหรือสิ่งที่อาเจียน
  4. ส่องกล้องเข้าไปในทางเดินอาหารพบตัวพยาธิ


การรักษา

ยาที่ใช้รักษาพยาธิลำไส้แคปิลลาเรีย ได้แก่

  • Mebendazole ขนาด 200 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 20 วัน
  • Albendazole ขนาด 400 มก. วันละครั้ง นาน 10 วัน

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำหรือเกลือแร่ ต้องได้รับการแก้ไขด้วยการให้สารน้ำและเกลือแร่ทดแทนร่วมด้วย

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานปลาน้ำจืดดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ
  • ปรุงปลาน้ำจืดให้สุกทั่วก่อนรับประทาน
  • รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลและสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
  • ควบคุมการถ่ายอุจจาระไม่ให้ลงแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนไข่พยาธิ

สรุป

โรคพยาธิลำไส้แคปิลลาเรียเป็นโรคที่พบได้น้อยในไทย แต่มีความรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา เกิดจากการรับประทานปลาน้ำจืดที่ไม่สุก ทำให้พยาธิอาศัยและเจริญเติบโตในลำไส้เล็ก ก่อให้เกิดอาการท้องร่วงเรื้อรัง สูญเสียน้ำและเกลือแร่จนถึงชีวิตได้ การวินิจฉัยทำได้จากการตรวจพบไข่หรือตัวพยาธิในอุจจาระหรือทางเดินอาหาร การรักษาด้วยยาฆ่าพยาธิร่วมกับการแก้ไขภาวะขาดน้ำมีประสิทธิภาพสูง การป้องกันที่สำคัญที่สุดคือการปรุงอาหารให้สุกก่อนรับประทานและรักษาสุขอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค