ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever)

ไข้ไทฟอยด์ หรือที่บางครั้งเรียกว่า “ไข้รากสาดน้อย” หรือ “ไข้เอ็นเทอริก” เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ Salmonella typhi ส่วนโรคที่มีอาการคล้ายแต่รุนแรงน้อยกว่าเรียกว่าไข้พาราไทฟอยด์ เกิดจากเชื้อ Salmonella paratyphi โดยทั่วไปแพทย์จะจัดรวมเป็นไข้ไทฟอยด์จนกว่าจะมีผลเพาะเชื้อยืนยัน สำหรับเชื้อซัลโมเนลล่าชนิดอื่น ๆ มักทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้

พยาธิสภาพ

เชื้อซัลโมเนลล่าจะออกมากับอุจจาระและปัสสาวะของผู้ที่เป็นโรค ติดต่อเข้าสู่ร่างกายอีกคนหนึ่งโดยการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อนี้ เมื่อเข้าไปถึงลำไส้เล็ก เชื้อจะเข้าสู่ทางเดินน้ำเหลืองและต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง เชื้อส่วนหนึ่งจะเข้าสู่กระแสเลือด ไปที่ตับ ม้าม ถุงน้ำดี ไต และไขกระดูก ถ้าเพาะเชื้อในเลือดในช่วงสัปดาห์แรกที่มีไข้มักจะให้ผลบวก เชื้อซัลโมเนลล่าจากถุงน้ำดีจะไหลไปกับน้ำดีกลับเข้าสู่ลำไส้เล็กอีกครั้ง ขบวนการนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่ผนังลำไส้เล็กส่วนปลายในสัปดาห์ที่ 2-3 ของไข้ เกิดเป็นแผลที่มีลักษณะเฉพาะของไข้ไทฟอยด์ คือเป็นรูปไข่ตามแนวขวางของลำไส้เล็กส่วนปลาย ในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันปกติและไม่มีภาวะแทรกซ้อน เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 แผลเหล่านื้จะหายไปโดยไม่มีแผลเป็น

อาการของโรค

ไข้ไทฟอยด์มักพบในคนอายุ 10-30 ปี อาการเกิดหลังรับเชื้อประมาณ 2 สัปดาห์ อาการแบ่งออกเป็น 3 ประเภท

  1. แบบจำเพาะ (Classical typhoid fever)
  2. ไข้จะค่อย ๆ เริ่มอย่างช้า ๆ ในสัปดาห์แรกไข้มักไม่สูง ผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ซึมลง บางรายอาจเพ้อ ในปลายสัปดาห์แรกอาจมีจุดแดงตามตัวที่เรียกว่า rose spot ซึ่งเกิดจากการจับกลุ่มกันของเชื้อในหลอดเลือดฝอย

    เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สองไข้จะสูงลอย หน้าไม่แดง แต่ซึมมาก เหมือนป่วยมานาน ชีพจรเต้นช้าเมื่อเทียบกับไข้ที่สูงลอย ตับจะโตก่อนม้าม บางรายมีตาเหลืองด้วย

    ในสัปดาห์ที่สามไข้ยังคงสูง แต่เปลี่ยนเป็นขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ได้สูงลอยเหมือนในสัปดาห์ที่สอง หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ตั้งแต่สัปดาห์ที่สี่เป็นต้นไป ไข้จะค่อย ๆ ลดและหายไปเองแม้ไม่ได้รับการรักษา

  3. แบบโลหิตเป็นพิษ (Septicemia)
  4. อาการรุนแรง ไข้สูงทันที หนาวสั่น ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รักษาอาจเสียชีวิตภายใน 2–3 วัน

  5. แบบติดเชื้อเฉพาะที่ (Focal infection)
  6. มีไข้ร่วมกับการอักเสบเฉพาะที่ เช่น ข้ออักเสบ กรวยไตอักเสบ หรือฝีในตับ โดยไม่มีอาการระบบอื่น

ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้กลับซ้ำภายใน 3 เดือนหลังจากหาย อีกทั้งบางคนอาจไม่แสดงอาการเลยแต่ขับเชื้อออกมากับอุจจาระ ถือเป็น “พาหะ” ของโรค



ภาวะแทรกซ้อน

พบได้มากในสัปดาห์ที่ 2–3 ของโรค ที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ปอดอักเสบ ลักษณะจะเป็นทั้งกลีบ บางรายกลายเป็นฝีในปอด หรือมีหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
  • ตับอักเสบ ทำให้ตาเหลือง พบได้บ่อย แต่มักไม่รุนแรง
  • เลือดออกในลำไส้ จากการหลุดลอกของแผล
  • ลำไส้ทะลุ แผลที่ลำไส้เล็กส่วนปลายถ้าลึกมากก็อาจทะลุ ทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดท้องมาก โดยเฉพาะเวลาขยับตัวหรือแม้กระทั่งหายใจ ผนังหน้าท้องจะแข็งเกร็งต้านการกระเพื่อมของท้องเวลาเคลื่อนไหว
  • ถุงน้ำดีอักเสบ มักพบในรายที่เป็นพาหะมากกว่าในรายที่กำลังเป็นไข้ไทฟอยด์อยู่
  • ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก พบเฉพาะในผู้ที่พร่องเอ็นไซม์ G6PD ทำให้ซีดลงอย่างรวดเร็วและมีปัสสาวะเป็นสีดำ
  • ภาวะ DIC เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของไข้ไทฟอยด์แบบโลหิตเป็นพิษ จำนวนเกร็ดเลือดจะลดลง ระบบการแข็งตัวของเลือดจะเสียไป ทำให้เกิดเลือดออกภายในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
  • ไตอักเสบแบบเนโฟรสิส ทำให้สูญเสียของอัลบูมินในเลือดออกมาในปัสสาวะ ผู้ป่วยจะบวม
  • ภาวะสับสนคล้ายโรคจิต พบได้บ่อยพอสมควร อาการจะหายไปเมื่อไข้ลด
  • ที่พบน้อยเช่น ข้ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

การวินิจฉัย

วิธีที่แน่ชัดคือเพาะเชื้อจากเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ ไขกระดูก หรือน้ำดี ซึ่งมักเพาะขึ้นในสัปดาห์แรก–สอง การตรวจ Widal ใช้ยืนยันได้หากค่าไตเตอร์เพิ่มขึ้น ≥4 เท่าในช่วง 7–10 วัน แต่ไม่ควรใช้ผลเพียงครั้งเดียวในการวินิจฉัย เว้นแต่มีอาการจำเพาะร่วมกับค่า O titer > 1:80 และ H titer > 1:400 ผลตรวจเลือดมักพบเม็ดเลือดขาวต่ำ และมี relatively lymphocytosis ยกเว้นรายที่มีภาวะแทรกซ้อน



การรักษา

ปัจจุบันเชื้อซัลโมเนลล่าดื้อยามากขึ้นเรื่อย ๆ ยาปฎิชีวนะที่ใช้ควรเป็นกลุ่มควิโนโลน (Quinolone) หรือเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) และต้องให้ยานาน 1-2 สัปดาห์ หากมีภาวะแทรกซ้อนทางศัลยกรรม เช่น ลำไส้ทะลุ หรือถุงน้ำดีอักเสบ อาจต้องผ่าตัด ผู้ที่เป็นพาหะก็ควรได้รับการรักษาเช่นกัน

พยากรณ์โรค

หากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม อัตราการหายสูงและอัตราการเสียชีวิตต่ำมาก อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษา หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ลำไส้ทะลุหรือโลหิตเป็นพิษ อัตราการเสียชีวิตอาจสูงขึ้น ผู้ที่เป็นพาหะควรได้รับการรักษาเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

การป้องกัน

โชคดีที่มีวัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์ทั้งชนิดฉีดและชนิดรับประทาน ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันข้ามสายพันธุ์ต่อเชื้อ S. paratyphi B ได้ด้วย

ผู้ประกอบอาชีพทำอาหารควรรับการตรวจและเพาะเชื้อในอุจจาระอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าเป็นพาหะของโรคติดเชื้อชนิดใด ต้องหยุดทำงานจนกว่าจะรักษาหายจากการเป็นพาหะของโรค

สรุป

ไข้ไทฟอยด์เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย Salmonella typhi ติดต่อทางอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน อาการหลักคือไข้สูง อ่อนเพลีย และอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง การวินิจฉัยอาศัยการเพาะเชื้อ การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมและต่อเนื่อง การป้องกันทำได้ด้วยวัคซีนและการรักษาสุขอนามัย หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกและรักษาถูกต้อง พยากรณ์โรคโดยรวมถือว่าดี