อหิวาตกโรค (Cholera)
อหิวาตกโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียแกรมลบที่มีหาง ชื่อ Vibrio cholerae เชื้อนี้เจริญได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง ในน้ำนม และในน้ำทะเล โดยคนเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อที่สำคัญ เชื้อจะออกมากับอุจจาระ และสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงการสัมผัสภาชนะหรือมือที่ปนเปื้อน
พยาธิสภาพ
เมื่อเชื้ออหิวาต์เข้าสู่กระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่จะถูกกรดในกระเพาะทำลาย แต่หากผู้ป่วยมีภาวะกรดในกระเพาะต่ำ เชื้อบางส่วนสามารถผ่านไปถึงลำไส้เล็กซึ่งมีความเป็นด่างสูง และเจริญเติบโตพร้อมสร้างสารพิษ enterotoxin ซึ่งจะจับกับเซลล์บุผนังลำไส้เล็กและกระตุ้นให้เซลล์หลั่งน้ำและเกลือแร่เข้าสู่ลำไส้ในปริมาณมาก ทำให้เกิดการถ่ายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว
สารพิษนี้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเป็นน้ำได้นานถึง 24 ชั่วโมง ยาปฏิชีวนะไม่สามารถหยุดอาการถ่ายใน 24 ชั่วโมงแรกได้ แต่จะช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อและการสร้างสารพิษ ทำให้อาการถ่ายลดลงในช่วงต่อมา
อาการของโรค
อาการมักเกิดขึ้นหลังติดเชื้อ 1-2 วัน ผู้ป่วยจะถ่ายเป็นน้ำใสคล้ายน้ำซาวข้าว มีกลิ่นคาว โดยไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย และมักมีอาเจียน ในรายที่อาการไม่รุนแรงอุจจาระอาจไม่เกินวันละ 1 ลิตรและหายได้เองใน 1-3 วัน แต่หากรุนแรงอาจถ่ายมากถึงชั่วโมงละ 1 ลิตร หากไม่ได้รับการชดเชยน้ำและเกลือแร่ทันเวลา ผู้ป่วยอาจเข้าสู่ภาวะช็อกและไตวายเฉียบพลัน
การตรวจเลือดพบภาวะเลือดข้น มีความเป็นกรด (acidosis) ยูเรียสูง และระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
การวินิจฉัย
หากผู้ป่วยมีอาการถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากและต่อเนื่อง ควรสงสัยอหิวาตกโรคทันที ต้องรายงานต่อสาธารณสุข เก็บตัวอย่างอุจจาระส่งเพาะเชื้อ และเริ่มให้น้ำเกลือโดยเร็วเพื่อป้องกันการเสียชีวิต
การเพาะเชื้อใช้เวลา 2-3 วัน มักช่วยยืนยันการวินิจฉัย เนื่องจากอาการอาจหายก่อนผลเพาะเชื้อ ส่วนการตรวจทางซีโรโลยีให้ผลบวกช้าประมาณวันที่ 5-7 ของโรค
การรักษา
ผู้ป่วยโรคอหิวาต์ที่เป็นน้อยอาจไม่ต้องเติมน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือด เพียงแต่ดื่มน้ำเกลือแร่ให้ได้เท่ากับปริมาณที่ถ่ายออกมาในแต่ละครั้ง ซึ่งอาจต้องถึง 1 ลิตรต่อชั่วโมง สูตรเกลือแร่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) สำหรับโรคอหิวาต์คือ ในน้ำ 1 ลิตร ควรมี
- น้ำตาล (glucose) 20 กรัม
- เกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) 3.5 กรัม
- โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) 2.5 กรัม
- โปแตสเซียมคลอไรด์ (KCl) 1.5 กรัม
สำหรับผู้ป่วยอหิวาต์ที่เป็นรุนแรง อ่อนเพลียมาก นั่งแทบไม่ไหว ต้องได้รับการเติมน้ำเกลือเข้าทางเส้นโลหิตดำและรับประทานยาปฏิชีวนะทันที ยาที่ฆ่าเชื้ออหิวาต์ได้ดีคือ Tetracycline, Erythromycin, Co-trimoxazole ในระหว่างที่ให้น้ำเกลือควรตรวจเคมีในเลือดซ้ำทุก 6 ชั่วโมง
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนของอหิวาตกโรคส่วนใหญ่เกิดจากการเสียสมดุลของสารน้ำและกรดด่างในเลือดอย่างรวดเร็ว รวมถึงการให้น้ำเกลือที่ไม่เหมาะสม ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่:
- ภาวะเลือดคั่งในปอด (pulmonary edema) พบบ่อยในรายที่เลือดมีภาวะกรดมากแล้วมีการให้สารน้ำเข้าทางเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว คนไข้มาตอนแรกจะแห้ง เห็นขอบของเบ้าตาชัด แขนขาเย็นและเขียว ชีพจรเบา ความดันเลือดต่ำ หายใจหอบลึก ในภาวะที่เลือดเป็นกรดมากเช่นนี้ ร่างกายจะเปลี่ยนการกระจายของเลือดมาสู่ที่ปอดมาก ส่งไปที่หลอดเลือดส่วนปลายน้อย เมื่อมีการให้น้ำอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้แก้ไขภาวะกรดในเลือดก่อน จะยิ่งไปเพิ่มปริมาณน้ำในส่วนกลาง ทำให้มีเลือดคั่งในปอดมากขึ้น ดังนั้น สารน้ำที่ให้ในช่วงแรกต้องเป็น isotonic sodium bicarbonate และควรวัดปริมาณน้ำเข้า-น้ำออกจากร่างกาย ฟังเสียงปอด และตรวจระดับเคมีในเลือดซ้ำเป็นระยะ ๆ
- ภาวะไตวายเฉียบพลัน (acute tubular necrosis) ถ้าคนไข้มีปัสสาวะออกน้อยกว่า 300 มิลลิลิตรต่อวัน เกินกว่า 24 ชั่วโมง โดยที่ให้น้ำเพียงพอแล้ว แสดงว่ามีภาวะไตวายเฉียบพลันแทรกซ้อนในช่วงแรกที่ช็อคแล้ว แม้จะหยุดถ่ายแล้วก็ยังต้องเฝ้าสังเกตอาการและควบคุมปริมาณน้ำเข้า-น้ำออกในร่างกายต่อไป ส่วนใหญ่ภาวะไตวายเฉียบพลันจะฟื้นภายใน 1-2 สัปดาห์ สัญญาณที่บ่งบอกว่าไตฟื้นคือภาวะที่มีปัสสาวะออกมากอยู่หลายวันติดต่อกัน ซึ่งอาจมากกว่าวันละ 2-3 ลิตร ระหว่างที่ปัสสาวะออกน้อยต้องจำกัดน้ำเข้า และระหว่างที่ปัสสาวะออกมากต้องให้ชดเชยให้ทัน
- ภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ (hypokalemia) มักเกิดหลังจากที่ภาวะกรดในเลือดกลับสู่ภาวะปกติ โปแตสเซียมในเลือดที่ออกมาจากเซลล์ตอนที่ร่างกายเป็นกรดมาก ๆ จะกลับเข้าเซลล์ตามเดิม ทำให้ภาวะพร่องโปแตสเซียมจากการสูญเสียไปกับน้ำอุจจาระปรากฏชัดขึ้น หากคนไข้ยังไม่หยุดถ่ายและยังจำเป็นต้องให้น้ำเกลือต่อ อาจเพิ่มโปแตสเซียมลงไปในน้ำเกลือเล็กน้อย แต่ถ้าคนไข้ถ่ายลดลงแล้วก็หยุดให้น้ำเกลือทางเส้นโลหิต กลับมาให้ดื่มทางปากและทานอาหารตามปกติ
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการซึม เรียกไม่รู้ตัว หรือชักได้ น้ำเกลือที่ให้จึงควรมีกลูโคสผสมด้วย เด็กบางรายอาจมีอาการซึม ไม่ตอบสนอง โดยที่ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ มักเป็นอยู่ประมาณ 12 ชั่วโมง เข้าใจว่าเกิดจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของกรดด่างอย่างรวดเร็วในร่างกาย ส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองใน 1-2 วัน
- ภาวะตะคริว (tetany) มักเกิดใน 2-3 ชั่วโมงแรกที่ให้น้ำเกลือทางเส้นโลหิต สาเหตุเป็นได้ 2 กรณีคือ เกิดการเปลี่ยนจากภาวะกรดเป็นด่างในเลือดเร็วเกินไป หรือผู้ป่วยยังคงหายใจเร็วอยู่แม้จะแก้ภาวะกรดในเลือดแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการชาและเกร็งนิ้วมือนิ้วเท้าในลักษณะจีบงุ้มเข้าหากัน แต่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องรักษา
- ภาวะลำไส้ไม่ทำงาน มักเกิดหลังจากที่โรคหายแล้ว ลำไส้จะยังดูดซึมอาหารประเภทไขมัน น้ำตาล วิตามินบี 12 และโฟเลตได้น้อย การรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลมาก ๆ ในช่วงที่เพิ่งฟื้นจากโรคอาจทำให้มีอาการท้องอืดได้ แต่จะเป็นชั่วคราวเท่านั้น
การป้องกัน
ผู้ที่เคยเป็นอหิวาตกโรคแล้วจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยเป็นสามารถป้องกันได้ด้วยการรับวัคซีนดื่ม อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ห่างกัน 1 สัปดาห์ และควรได้รับการกระตุ้นทุก 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับอายุ
มาตรการป้องกันที่สำคัญคือการรักษาสุขอนามัย ได้แก่ รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด ดื่มน้ำต้มสุก ล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ตัดเล็บให้สั้น ถ่ายอุจจาระในส้วม และหลีกเลี่ยงการประกอบอาหารในขณะมีอาการท้องเสีย
สรุป
อหิวาตกโรคเป็นโรคติดเชื้อในลำไส้เล็กที่มีการถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การรักษาหลักคือการให้สารน้ำและเกลือแร่ชดเชย รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะในรายที่มีอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสมดุลสารน้ำและกรดด่าง การป้องกันทำได้โดยการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนและการรักษาสุขอนามัยอย่างเข้มงวด เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรค