ไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcemia)

โรคไข้กาฬหลังแอ่นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitidis หรือที่เรียกว่าเมนนิงโกค็อคคัส (meningococcus) เชื้อนี้สามารถอาศัยอยู่ในโพรงจมูกของคนได้โดยไม่ก่อให้เกิดโรค การติดต่อเกิดขึ้นผ่านทางการหายใจ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ผู้สูงอายุ และผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ

อาการของโรค

โรคไข้กาฬหลังแอ่นแสดงอาการได้เป็น 2 ลักษณะคือ

  1. ไข้กาฬหลังแอ่นในกระแสโลหิต (Meningococcemia) เกิดจากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจนทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ ซึ่งแบ่งย่อยออกได้ 3 แบบคือ
    • ชนิดเฉียบพลัน เริ่มมีอาการไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ตามด้วยไข้สูง หนาวสั่น หลังมีไข้ได้ 1-2 วันจะเริ่มเห็นจุดแดงขึ้นที่ผิวหนัง มักกระจายทั้งตัว จุดเหล่านี้เป็นจุดเลือดออกที่ผิวหนัง เมื่อเอานิ้วกดแล้วปล่อยจะไม่หายไปแล้วกลับคืนมาใหม่เหมือนผื่นแดงทั่วไป บางครั้งอาจพบเป็นตุ่มน้ำที่มีจุดแดงตรงกลาง ถ้าเอาน้ำจากตุ่มนี้ไปย้อมดูจะพบเชื้อได้ จุดแดงเหล่านี้จะคล้ำขึ้นภายใน 2-3 วัน และกลายเป็นสะเก็ดสีดำ ระหว่างนี้ผู้ป่วยจะอ่อนเพลียมาก ปวดตามข้อ โดยเฉพาะที่ขาและหลัง
    • ชนิดรุนแรง หรือที่เรียกว่า Waterhouse Friderichsen syndrome พบได้น้อย ผู้ป่วยจะมีไข้สูงและเกิดภาวะช็อคอย่างเฉียบพลันโดยไม่ทันมีอาการนำ เกิดการอุดตันของหลอดเลือดฝอยทั่วร่างกายและอาจเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
    • ชนิดเรื้อรัง พบได้น้อยมาก ผู้ป่วยจะมีไข้เป็น ๆ หาย ๆ ปวดข้อเรื้อรังนานเป็นเดือน บางรายมีจุดแดงตามผิวหนังร่วมด้วย
  2. ไข้กาฬหลังแอ่นในระบบประสาท (Meningococcal meningitis) เกิดจากเชื้อแพร่จากโพรงจมูกเข้าสู่สมอง ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มักพบในเด็ก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ คอแข็ง ซึมหรือสับสน และอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยคือข้ออักเสบ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลายข้อ รองลงมาคือการสูญเสียการได้ยินถาวรจากการที่เชื้อทำลายเส้นประสาทสมองเส้นที่ 8 ในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบเฉียบพลันหรือรุนแรง อาจเกิดภาวะต่อมหมวกไตไม่ทำงาน

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่พบได้น้อย ได้แก่ โรคลมชักหลังเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

การวินิจฉัย

การยืนยันโรคต้องอาศัยการเพาะเชื้อจากเลือดหรือจากน้ำไขสันหลัง การเพาะเชื้อจากโพรงจมูกเพียงอย่างเดียวไม่ถือว่าเป็นการยืนยันโรค ระหว่างรอผลเพาะเชื้อ (ใช้เวลา 3–7 วัน) อาจใช้การตรวจทางซีโรโลยี เช่น latex agglutination จากเลือด หรือ countercurrent immunoelectrophoresis จากน้ำไขสันหลังเพื่อช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยเบื้องต้น

อาการไข้ร่วมกับจุดแดงที่ผิวหนังต้องแยกโรคออกจากไข้ออกผื่นจากไวรัส ริคเค็ทท์เซีย สแตฟิโลค็อคคัส หรือจ้ำเลือดจากโรคเลือด ส่วนเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ตรวจพบเซลล์นิวโตรฟิลในน้ำไขสันหลัง ต้องแยกโรคจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจาก Pneumococcus และ Haemophilus influenzae



การรักษา

การรักษาที่จำเพาะคือการให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อ N. meningitidis ได้แก่ Penicillin, Ampicillin, Chloramphenicol และ Third generation cephalosporins ในเด็กที่มีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบและยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากเชื้อเมนนิงโกค็อคคัส อาจเลือกใช้ Ampicillin ก่อน เพราะสามารถครอบคลุมเชื้อ H. influenzae ได้ด้วย เมื่อทราบเชื้อและผลความไวต่อยาจึงปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม

นอกจากนี้ต้องรักษาแบบประคับประคอง เช่น การดูแลภาวะช็อคและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมด้วย

การป้องกัน

วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่นที่มีใช้ในประเทศไทยสามารถป้องกันเชื้อได้ 4 สายพันธุ์ คือ A, C, Y และ W-135 แต่สายพันธุ์ที่พบบ่อยในประเทศไทยคือสายพันธุ์ B ซึ่งยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นจึงยังไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนในประชาชนทั่วไป กลุ่มที่ควรได้รับวัคซีน ได้แก่

  • ผู้ที่จะไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาหรือบางประเทศในยุโรป
  • ผู้แสวงบุญไปประกอบพิธีฮัจจ์หรืออุมเราะห์ในประเทศซาอุดิอาระเบีย
  • นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังแอฟริกากลาง (เขต Meningitis belt)

ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยควรรับประทานยาป้องกันนาน 2 วัน ส่วนเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่สัมผัสกับเชื้อควรได้รับเพนนิซิลินทั้งแบบฉีดและรับประทานเพื่อป้องกันโรค

สรุป

ไข้กาฬหลังแอ่นเป็นโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อ Neisseria meningitidis สามารถทำให้เกิดได้ทั้งการติดเชื้อในกระแสเลือดและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคนี้มีอาการหลากหลายตั้งแต่ไข้สูง จุดเลือดออกที่ผิวหนัง ไปจนถึงภาวะช็อคเฉียบพลันและเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น การวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องอาศัยการเพาะเชื้อ ส่วนการรักษาใช้ยาปฏิชีวนะและการดูแลประคับประคองภาวะแทรกซ้อน แม้ว่าจะมีวัคซีนป้องกันบางสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่พบบ่อยในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีน ดังนั้นการเฝ้าระวัง การป้องกันในกลุ่มเสี่ยง และการรักษาอย่างรวดเร็วมีความสำคัญต่อการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้