โรคบาดทะยัก (Tetanus)
โรคบาดทะยักเกิดจากเชื้อ Clostridium tetani ซึ่งเป็นแบคทีเรียรูปแท่ง กรัมบวก เติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ เชื้อนี้มักอยู่ในดินในรูปของสปอร์ที่มีความทนทานสูง สามารถทนความร้อนและความแห้งได้นานหลายเดือน
เชื้อบาดทะยักเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ที่พบบ่อยคือทางบาดแผล ทางสายสะดือในทารกแรกเกิด ทางหูในรายที่เป็นหูน้ำหนวก ทางฟันผุ และทางต่อมทอนซิล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะสร้างสารพิษ (exotoxin) เข้าสู่ระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง
อาการของโรค
อาการมักเริ่มภายใน 5–10 วันหลังได้รับเชื้อ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับระยะฟักตัว ยิ่งระยะฟักตัวสั้น อาการจะรุนแรงมากขึ้น อาการสำคัญของโรคบาดทะยักมี 5 ประการ ได้แก่
- อ้าปากลำบากเนื่องจากขากรรไกรแข็ง (trismus/lock jaws)
- กลืนอาหารลำบาก
- คอแข็ง ท้องแข็ง หลังแข็ง ก้มตัวไม่ได้
- ขาเกร็ง เดินลำบาก เดินทื่อ ๆ และอาจเกิดการกระตุกเกร็ง
- อาการชัก
อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏพร้อมกัน แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้นมักจะพบครบถ้วน ผู้ป่วยมักรู้สึกตัวดี อาจมีไข้หรือไม่ก็ได้ กล้ามเนื้อหดเกร็งมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้น
เช่น มีการสัมผัสหรือเสียงดัง ใบหน้ามีลักษณะเหมือนยิ้มแสยะ (risus sardonicus)
ในรายที่รุนแรงจะมีเหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงเป็นพัก ๆ
ปัจจัยที่ทำให้พยากรณ์โรคไม่ดี ได้แก่ ผู้ป่วยสูงอายุ, ระยะฟักตัวสั้น,
ระยะเวลาตั้งแต่ขากรรไกรแข็งจนถึงเริ่มชักสั้นกว่า 48 ชั่วโมง, มีไข้สูง หรือมีอาการชักตลอดเวลา
โรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิดมักได้ประวัติว่ามารดาไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักในระหว่างตั้งครรภ์ หรือมีการคลอดและการดูแลสายสะดือที่ไม่สะอาด เด็กจะไม่ยอมดูดนม หรือดูดแล้วน้ำนมไหลออกทางด้านข้างของปาก แล้วจะเริ่มมีชักเกร็ง หลังแอ่น (opisthotonos) โรคบาดทะยักในทารกมีอัตราตายถึงร้อยละ 50
การวินิจฉัย
โรคบาดทะยักเกิดจากสารพิษของเชื้อ ไม่ใช่ตัวเชื้อโดยตรง และเชื้อมักไม่พบในกระแสเลือด ดังนั้นการวินิจฉัยอาศัยจากประวัติและอาการทางคลินิกเป็นหลัก
การรักษา
หลักสำคัญของการรักษาคือการให้ Tetanus antitoxin (TAT) หรือ Tetanus immunoglobulin (TIG) เพื่อทำลายสารพิษที่ยังไม่จับกับเนื้อเยื่อประสาท (ไม่สามารถทำลายสารพิษที่เข้าสู่ระบบประสาทแล้วได้) พร้อมกับทำความสะอาดแผลและให้ยาปฏิชีวนะเพื่อยับยั้งการสร้าง exotoxin เพิ่มเติม ใช้ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ และยากันชักเพื่อลดอาการเกร็งและป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท
ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลในห้องที่เงียบสงบและลดสิ่งกระตุ้น
ส่วนใหญ่ต้องให้อาหารและสารน้ำทางสายยาง ในรายที่อาการรุนแรงอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อป้องกันภาวะขาดออกซิเจนระหว่างชักบ่อย ๆ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบจากการสำลัก ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย
การฟื้นตัวของโรคต้องใช้เวลานาน ผู้ป่วยยังคงรู้สึกตัวดีแต่มีอาการเกร็งรุนแรง โดยทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3–4 สัปดาห์จึงจะเริ่มดีขึ้น และอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหายสนิท
พยากรณ์โรค
โรคบาดทะยักเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในทารกและผู้สูงอายุ แม้จะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมแล้ว อัตราการเสียชีวิตยังคงอยู่ระหว่าง 20–50%
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพยากรณ์โรคที่ไม่ดี ได้แก่ ระยะฟักตัวสั้น, การเริ่มชักเร็ว, มีอาการรุนแรงตั้งแต่แรก, และมีโรคร่วม หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยบางรายสามารถหายได้
แต่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายเป็นเดือน
การป้องกัน
การป้องกันแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่
- การป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (Pre-exposure prevention) :
การฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก โดยหญิงตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับวัคซีน
และเด็กควรได้รับวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTaP)
ตามกำหนดอายุ 2, 4, 6 เดือน, 12–18 เดือน และ 4–6 ปี
- การป้องกันหลังสัมผัสเชื้อ (Post-exposure prevention) :
การฉีดวัคซีนร่วมกับอิมมูโนโกลบูลินในผู้ที่มีบาดแผลสกปรก แผลลึก
หรือแผลที่เกิดขึ้นนานกว่า 6 ชั่วโมง โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสม
สรุป
โรคบาดทะยักเกิดจากสารพิษของเชื้อ C. tetani ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือทางอื่น ๆ แล้วไปกระทบต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการเกร็ง ชัก และอาจเสียชีวิตได้ การรักษาเน้นการให้ TAT หรือ TIG ร่วมกับยาปฏิชีวนะ ยาคลายกล้ามเนื้อ และการดูแลประคับประคอง แม้สามารถรักษาได้ แต่การฟื้นตัวใช้เวลานานและมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ดังนั้นการป้องกันโดยการฉีดวัคซีนและการดูแลบาดแผลอย่างถูกสุขลักษณะ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดการเกิดโรคและอัตราการเสียชีวิต