โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma venereum)
โรคฝีมะม่วงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบมากในผู้ชาย เกิดจากเชื้อคลาไมเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia trachomatis) โดยทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศร่วมกับต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโตและเจ็บปวดมากจนบางครั้งเดินไม่ได้ ชาวบ้านเรียกว่า "ไข่ดัน" ส่วนในผู้หญิงไม่ค่อยพบต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต เพราะน้ำเหลืองจากอวัยวะสืบพันธุ์จะไหลเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองในท้องน้อยมากกว่า หากติดเชื้อมักแสดงออกเป็น โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ มากกว่า
ปัจจุบันมีแนวโน้มพบโรคนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน การไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการมีเพศสัมพันธ์ชายกับชาย
อาการของโรค
อาการของโรคฝีมะม่วงแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะแผล เกิดขึ้นภายใน 3 วัน–3 สัปดาห์หลังรับเชื้อ มีตุ่มน้ำใสหรือแผลตื้นขนาดเล็กที่อวัยวะเพศ ถุงอัณฑะ หรือทวารหนัก ไม่เจ็บ อาจหายไปเองใน 2–3 วัน ผู้ป่วยบางคนอาจไม่ทันสังเกต และอาจมีอาการคล้ายท่อปัสสาวะอักเสบแทน
- ระยะฝี เกิดหลังรับเชื้อ 10–30 วัน ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวมโตเป็นก้อน เจ็บมาก และบางครั้งมีร่องตรงกลางคล้าย "มะม่วงอกร่อง" จึงเป็นที่มาของชื่อ "ฝีมะม่วง" ผู้ป่วยอาจมีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดข้อ มีตาอักเสบ หรือผื่นขึ้นตามตัว หากไม่รักษา ฝีอาจยุบเองภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่บางรายฝีแตกเป็นรู มีหนองและเลือดไหล ทำให้เกิดแผลเรื้อรัง
- ระยะแผลเป็นหดรัด เกิดหลังรับเชื้อนานหลายปี ผู้ป่วยจะเกิดพังผืดและเนื้อเยื่อแผลเป็น ทำให้ท่อน้ำเหลืองอุดตันจนเกิดอวัยวะเพศบวมโต หรืออาจรัดลำไส้จนปวดเบ่งและอุจจาระมีลักษณะผิดปกติ ในผู้หญิง แม้ระยะฝีจะไม่เด่นชัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถเกิดพังผืดรอบช่องคลอดและทวารหนัก ทำให้ตีบแคบหรือบวมโตได้เช่นกัน
การวินิจฉัยโรค
เชื้อคลาไมเดียเพาะเลี้ยงได้ยาก จึงอาศัยการวินิจฉัยจากประวัติและอาการเป็นหลัก โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต เจ็บมาก และไม่พบว่าเป็นเริม ซิฟิลิส หรือแผลริมอ่อน ควรสงสัยโรคฝีมะม่วงและเริ่มรักษาได้ทันที
การยืนยันสามารถทำได้โดยตรวจเลือดทางซีโรโลยี ส่งหนองจากต่อมน้ำเหลืองไปเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการ หรือบางกรณีอาจตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา นอกจากนี้ควรตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ซิฟิลิส หรือเอชไอวี
การรักษา
การรักษาต้องดูแลทั้งผู้ป่วยและคู่นอนทุกคน พร้อมงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหาย ยาปฏิชีวนะที่ใช้ได้ เช่น Doxycycline, Tetracycline, Erythromycin หรือ Azithromycin รับประทานต่อเนื่อง 3 สัปดาห์
หากมีอาการปวดสามารถประคบอุ่นหรือใช้ยาแก้ปวดได้ หากฝีแตกควรรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน หากฝีไม่ยุบและมีลักษณะนิ่ม แพทย์อาจใช้เข็มดูดหนองออก แต่ไม่ควรผ่าฝีออกทั้งหมดเพราะจะทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงเกิดทางทะลุ (Fistula)
โรคนี้สามารถรักษาหายได้ในคนทั่วไป แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาจมีการติดเชื้อซ้ำหรือรักษาแล้วไม่หายขาด จำเป็นต้องตรวจเพาะเชื้อเพื่อเลือกยาที่เหมาะสม
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่สงสัยหรือเป็นโรค
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- รักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังมีเพศสัมพันธ์
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ
การดื่มน้ำก่อนร่วมเพศหรือถ่ายปัสสาวะหลังร่วมเพศอาจช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้เล็กน้อย แต่ไม่สามารถป้องกันได้แน่นอน ส่วนการใช้ "ยาล้างลำกล้อง" หรือยาปฏิชีวนะหลังการมีเพศสัมพันธ์ไม่แนะนำ เพราะไม่ได้ผลในการป้องกันจริง และยังไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้
สรุป
โรคฝีมะม่วงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อคลาไมเดีย ทราโคมาติส มีลักษณะอาการสำคัญคือแผลที่อวัยวะเพศและต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตจนเจ็บปวด อาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การเกิดพังผืดและความพิการถาวรได้ การวินิจฉัยอาศัยประวัติ อาการ และการตรวจเพิ่มเติมในบางกรณี การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสามารถให้ผลหายขาดได้หากรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ถุงยางอนามัยและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง การรู้เท่าทันโรคและเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและป้องกันการแพร่เชื้อต่อไป